การปฏิบัติการค้นหา ช่วยเหลือ ทีมนักเตะเยาวชนและโค้ช "หมูป่าอะคาเดมี" รวม 13 คน ที่ผลัดหลงติออยู่ภายในถ้ำหลวง เขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน บ้านจ้องวัด หมู่ 9 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มิ.ย.2561 จนเสร็จภารกิจเมื่อเวลา 18.47 น.วันที่ 10 ก.ค.2561 รวมทั้งหมด 17 วัน 17 คิน
ภารกิจสำคัญนี้มีหลากหลายหน่วยงานเข้าร่วมรวมทั้งนานาชาติ แต่ในจำนวนนี้มีหน่วยเงินหนึ่งที่เราจะลืมไม่ได้เลยคือ "ชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ หรือ หน่วยซีล" ที่ถูกส่งลงพื้นที่ปฎิบัติภารกิจค้นหาในครั้งนี้ด้วยตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.2561 โดยมี น.อ.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการค้นหา
สำหรับ น.อ.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 26 จบการศึกษาหลักสูตรต่างๆ อาทิ นักเรียนนักทำลายใต้น้ำจู่โจม, ผู้บังคับการเรือและยุทธวิธีเรือผิวน้ำ, เสนาธิการทหารเรือ และรับราชการในหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ มาโดยตลอด พร้อมทั้งเคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ คือ รองผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 ผบ.รบพิเศษที่ 1 เสนาธิการ นสร. ผู้อำนวยการกองส่งกำลังบำรุง ทัพเรือภาคที่ 3 และ ผบ.กรมรบพิเศษที่ 1
สำหรับ "หน่วยซีล" ขึ้นชื่อในเรื่องดำน้ำและเป็นนักทำลายใต้น้ำชั้นครู โดยกองทัพเรือ ได้รับการประสานขอให้จัดกำลังพลเข้าไปช่วยค้นหาทีมนักเตะเยาวชน "หมูป่า" พร้อมโค้ช ทั้่งหมด 13 คนที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เนื่องจากสภาพพื้นที่ในถ้ำเป็นอุปสรรคต่อการค้นหาอย่างมาก ดังนั้น การค้นหาจึงต้องอาศัยผู้ชำนาญใต้น้ำและเครื่องมือพิเศษในการช่วยค้นหา ซึ่งชุดพิเศษที่ว่านี้ก็คือ "หน่วยซีล"
ด้วยเหตุนี้ พล.ร.ต.อาภากร อยู่คงแก้ว ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ จึงสั่งการให้ น.อ.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 ลงพื้นที่กำกับดูแลและจัดชุดปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้ โดยให้คัดนักทำลายใต้น้ำฝีมือระดับพระกาฬชุดแรกรวมทั้งหมด 18 นายขึ้นมาปฏิบัติการค้นหาอย่างเร่งด่วนเพื่อแข่งกับเวลา จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ พบเจอทีมหมูป่าที่บริเวณเนินนมสาว ภายในถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 2 ก.ค.2561 เวลาประมาณ 22.20 น. และสามารถกู้ภัยนำทั้งหมดออกมาได้เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2561 โดยหมูป่าคนสุดท้ายพ้นจากปากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนในเวลา 18.47 น. รวมภารกิจค้นหาและกู้ภัยทั้งหมด 17 วัน 17 คืน
*"น.อ.อนันท์" เล่าภารกิจสู้น้ำ-ความมืดในถ้ำหลวง
เมื่อเย็นวันที่ 11 ก.ค.2561 ในการแถลงข่าวปิดศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (ศอร.) ที่ชั้น 2 อาคารองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย น.อ.อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 1 ได้เล่าถึงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยซีลในถ้ำหลวงว่า "ผมเข้าพื้นที่ตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ ถึงพื้นที่บริเวณหน้าถ้ำหลวง เวลา 02.45 น.หลังฟังบรรยายหน้าถ้ำ ได้เข้าไปในถ้ำเวลา 04.00 น. พวกเราเป็นชาวทะเล จากการฟังบรรยายสรุป ก็นึกภาพไม่ออกว่าสถานที่เกิดเหตุจะเป็นอย่างไร ถ้ำก็น่าจะมีแสงสว่างให้เราพอทำงานได้บ้าง หลังจากฟังบรรยายสรุปเสร็จก็มั่นใจว่าภารกิจนี้ไม่น่ายาก เพราะเรารู้แล้วว่าเด็กไปทางไหน แต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปในถ้ำ "รู้แล้วว่าไม่ใช่งานง่ายละ" ในถ้ำมืดสนิท เส้นทางจากปากถ้ำไปยังสามแยกที่คาดว่าเด็กๆ จะเข้าไปเกือบ 3 กม. อาจจะต้องปีนโขดหินที่คล้ายๆ หน้าผา บางช่วงก็ลอดรูเล็กๆ เข้าไป
วันแรกเราไปถึง 3 แยกประมาณตี 5 ครึ่ง เราเริ่มดำน้ำ 7 โมงเช้า สามารถทะลุไปอีกฝั่งหนึ่งที่คิดว่าเด็กๆ จะไปถึงประมาณระยะหนึ่ง ตลอดเส้นทางสังเกตว่าผนังถ้ำเป็นโคลนหนา ประมาณได้เลยว่าถ้ำนี้เคยมีน้ำท้วม พัดโคลนมาเต็มถ้ำ ขณะที่เราทำงานอยู่ 3 แยก น้ำจะไหลมาจากเส้นทางบ้านผาหมี เวลาตี 5 ถึง 4 โมงเย็น เราทำงานจนลืมเวลา แต่ก็สังเกตน้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าน้ำขึ้นตลอดเวลา 4 โมงครึ่งน้ำขึ้นเร็วมาก จากชั่วโมงละ 3 เซนติเมตร เป็นชั่วโมงละ 8 เซนติเมตร 13 เซนติเมตร ประมาณสถานการณ์แล้วว่าน่าจะเกิดอันตรายเพราะฝนตกตลอด ไม่รู้ว่าน้ำจะหลากเข้ามาในถ้ำเมื่อไหร่ เราต้องรีบถอนตัว ก็ได้เสนอผู้ว่าฯ ถ้าเราจะทำงานได้ ต้องสูบน้ำ เพราะเรานึกภาพว่าน้ำเต็มท่อ 3 กิโลเมตร 4 กิโลเมตร เราไม่รู้ว่าจะมีโพลงโผล่หายใจได้หรือไม่ ผู้ว่าก็ระดมสรรพกำลังสูบน้ำ แต่การสูบน้ำก็ลดน้อยมาก ซึ่งเราไม่สามารถรอเวลาได้ เพราะเวลาล่วงเลยมามากแล้ว จำเป็นต้องเดินหน้าต่อ
ในช่วงที่รอน้ำลด ทีมงานของเราก็ทำการดำน้ำเพื่อวางไกด์ไลน์ไปเรื่อยจากโถง 3 ถึง 3 แยก เราก็สามารถวางเบสไลน์ถึง 3 แยกได้ โดยที่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่น้ำจะลด ซึ่งก็เป็นที่ว่ามาเราต้องขอรับการสนับสนุนขวดอากาศอีกหลาย 100 ขวด ในช่วงสูบน้ำไปเรื่อยๆ เราก็วางเบสไลน์ไปเรื่อยๆ จนถึงชุดสุดท้ายของนักดำอังกฤษที่เข้าไปถึงตรงที่เด็กๆ อยู่
นักดำอังกฤษออกจากโถง 3 ไปจนพบเด็กแล้วกลับมาบอกว่าพบเด็กๆ แล้วเนี่ยใช้เวลาในการดำน้ำ 5 ชั่วโมงครึ่ง พวกเราก็โอเค นักดำต่างชาติดำถึงแล้ว วางไกด์ไลน์เรียบร้อยแล้ว เราก็ประเมินว่าน่าจะไม่เกิน 500-700 เมตร เราประเมินแล้วว่าเราน่าจะไปได้ ทีมงานเราจึงเตรียมสะเบียง น้ำ อาการเจลพลังงาน แผ่นฟอยล์ที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น โดยส่งทีมแรกไปเป็นซีลทั้งหมด จำเวลาไม่ได้ เพราะเราทำงานแบบไม่รู้วัน เราจะดูแค่ว่าอีกกี่ชั่วโมงเราจะออก นักดำน้ำที่เราส่งเข้าไปจะกลับ เราส่งนักดำน้ำไปโดยคัดคนที่คิดว่าเจ๋งที่สุดแล้ว 4 คนออกไป ชั่วโมงต่อไปก็ส่งไปอีก 3 คน ในนั้นมีหมอภาคย์ด้วย 1 คน เพื่อให้ไปดูแลเด็กๆ
"เชื่อมั้ยว่า 2 ทีมที่ส่งไป ขาดการติดต่อไป 23 ชั่วโมง นี่คือความเครียดของผู้ปฏิบัติที่ส่งลูกน้องออกไปทำงานแล้วไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย" เพราะเราประเมินแล้วต่างชาติดำ 5 ชั่วโมงครึ่ง สักยภาพเราอย่างมากก็อาจเป็น 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง ต้องกลับ แต่ 8 ชั่วโมงก็แล้ว 10 ชั่วโมงก็แล้ว 20 ชั่วโมง จน 23 ชั่วโมงผ่านไป ชุดซีลชุดแรกจึงกลับมาที่โถง 3 กลับมาก็กลับมาแค่ 3 คน เพราะที่เหลือที่ดำเข้าไปโดยใช้ขวดอากาศคนละ 4 ถัง ดำเกือบหมดทุกคน มี 3 คนที่พอจะมีอากาศเหลือดำกลับมาที่โถง 3 เพื่อรายงานข่าว ก็เป็นเหตการณ์ที่ผู้รับผิดชอบตรงหน้างานเครียดตลอดเวลา เพราะว่าความยากของงานนี้ก็คือ 1.ความมืด 2.เป็นงานใหม่ที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน 3.ความเย็นของน้ำในถ้ำ 4.เราไม่รู้ว่าน้ำจะมาอีกเมื่อไหร่ ปัจจัยต่างๆ คือความเสี่ยงที่เราต้องคิดอยู่ตลอดเวลา แต่เรามีทีมนักฟุตบอลอยู่ 13 ชีวิตที่รอคอยเราอยู่ เราทิ้งไม่ได้ โดย 3 คนที่กลับมาต้องเข้าโรงพยาบาลทั้งหมด เพราะสภาพร่างกายแย่มาก เมื่อเราเจอสถานการณ์แบบนี้เราต้องคิดใหม่แล้วว่าเราจะเดินต่อไปอย่างไร
ทุกครั้งที่ผู้บังคับบัญชามาให้กำลังใจ ทุกครั้งที่มีรายงานจากข้างนอกถ้ำว่าเดินสำรวจบนเขาแล้วไม่มีช่อง ไม่มีรูที่จะเข้าไปหาน้องๆ ได้ ความหวังที่เป็นไปได้มากที่สุดแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยก็คือทางน้ำเท่านั้น ก็เป็นแรงกดดันที่เราจะต้องเดินต่อ เราก็มาปรับแผนใหม่ว่าถ้าจะดำไปหาเด็กๆ ได้ก็ต้องวางขวดอากาศเป็นระยะ เป็นที่มาว่าเราระดมขวดมา แล้วก็จัดทีมออกไปวางขวดอากาศ
ทุกครั้งที่ส่งลูกน้องออกไปทำงาน 10 ชั่วโมงก็มี 7 ชั่วโมงก็มี 3 ชั่วโมงบ้าง กว่าเขาจะกลับมาให้เราเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ นี่คือความยากของมัน จนวันที่มีเหตุการณ์ที่พวกเราก็ทราบว่า "จ่าแซม" ในคืนวันนั้นท่านก็รับอาสาไปวางขวดอากาศร่วมกับทีมนักดำน้ำต่างชาติ ท่านออกไปกับทีมต่างชาติ 4 คน คนไทย 2 คน โดย 1 ในนั้นคือ "จ่าแซม" ซึ่งต่างชาติไปวางขวดอากาศกลับมาใช้เวลา 3 ชม. ส่วน "จ่าแซม" กับอีกท่าน 5 ชั่วโมงผ่านไป 6 ชั่วโมงผ่านไป 7 ชั่วโมงผ่านไปไม่กลับทั้ง 2 คน แต่ประเมินสถานการณ์เข้าข้างตัวเองว่า ลูกน้องเราอาจจะเหนื่อยแล้วพัก จนประมาณตี 1 คู่บัดดี้ดำกลับมาที่โถง 3 คนเดียว แล้วแจ้งว่าเกิดเหตุไม่ดีขึ้น ก็เป็นคืนที่เราสูญเสีย แต่ว่าสูญเสีย 1 ชีวิตกับอีก 13 ชีวิตที่ยังรอเราอยู่ ก็ต้องเดินหน้าต่อ
ทุกคนยอมรับในความเสี่ยง เพราะหน่วยเราถูกฝึกมาเพื่อรับภารกิจเสี่ยงอยู่แล้ว ในเรื่องความสูญเสียเราก็เตรียมใจอยู่แล้ว สุดท้ายถือว่างานนี้เป็นโอกาสดีของหน่วยงานของผมเองที่ได้ร่วมงานกับนักดำน้ำระดับโลก ทำให้เราได้เห็นวิธีการ แนวทางเทคนิคในการดำน้ำในถ้ำ เพื่อที่เราจะได้พัฒนาขีดความสามารถเพื่อรองรับอุบัติภัยของเราในอนาคต" น.อ.อนันท์ กล่าว
*พามาทำความรู้จักกับ "หน่วยซีล" กันดีกว่า
เราลองมาทำความรู้จักกับ "หน่วยซีล" ที่ขึ้นชื่อในเรื่องดำน้ำและเป็นนักทำลายใต้น้ำชั้นครูในอีกหนึ่งเรื่องราวนอกจากการปฏิบัติภารกิจการค้นหาทีมนักเตะเยาวชน พร้อมโค้ชทั้ง 13 ชีวิต ที่ผลัดหลงอยู่ภายในถ้ำหลวง เขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน มาตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มิ.ย.
"หน่วยซีล" หรือ "หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม" หรือ "มนุษย์กบ" เป็นหน่วยหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือไทย ซึ่งนับเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกที่หนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของทุกเหล่าทัพ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังทางเรือของทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะ ต่างก็ได้ส่งหน่วยรบพิเศษซึ่งเป็นหน่วยรบขนาดเล็กที่ได้รับการฝึก ให้มีขีดความสามารถเหนือทหารทั่วไปเข้าปฏิบัติการทำลายกองเรือและสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม ทำการก่อวินาศกรรมและปฏิบัติการลับอื่นๆ ซึ่งผลการปฏิบัติของแต่ละฝ่ายต่างก็สร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก แม้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงแล้วแต่ภารกิจของหน่วยรบพิเศษก็ไม่ได้จบสิ้นไปด้วย ตรงกันข้ามกลับได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านองค์บุคคล องค์วัตถุและองค์ยุทธวิธี
สำหรับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2495 กระทรวงกลาโหม ได้มีความคิดที่จะจัดตั้งหน่วยทำลายใต้น้ำขึ้น และได้เชิญผู้แทนเหล่าทัพกับกรมตำรวจไปประชุม เรื่อง การจัดตั้งหน่วยฝึกว่ายน้ำ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทห่ีเรือสหรัฐฯ ประจำหน่วย MAAG (MILITARY ASSISTANCE ADVISORY GROUP) การประชุมคราวนั้นที่ประชุมมีมติให้ กองทัพเรือ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดตั้งหน่วยฝึก และจากการหารือระหว่างกองทัพเรือ กับ MAAG ซึ่งได้แนวความคิดในการจัดตั้งหน่วยฝึก
การฝึกในหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ของหน่วยซีล ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-8 เดือน นับเป็นการฝึกหลักสูตรทางทหารที่มีระยะเวลานานที่สุดของไทย แบ่งออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่ การแนะนำการฝึกเบื้องต้น ฝึกการออกกำลังกายและการฝ่าอุปสรรคต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์, การฝึกจริง ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์, การฝึกแบบเข้มข้น หรือเรียกว่า "สัปดาห์นรก" ใช้เวลา 120 ชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพัก, การฝึกสอนยุทธวิธีต่างๆ และ การฝึกยุทธวิธีในสภาพจริง ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน
เมื่อสำเร็จหลักสูตรจะได้ประดับตราความสามารถ ซึ่งออกแบบโดย พลเรือโทพัน รักษ์แก้ว โดยส่วนประกอบของตรามีความหมายดังนี้ "ปลาฉลาม สีขาว หรือสีน้ำเงิน" หมายถึงจ้าวแห่งท้องทะเล ดุร้าย น่าเกรงขาม สง่างาม แข็งแกร่ง "คลื่น" หมายถึง ความน่ากลัวของทะเลที่มีเกลียวคลื่นตลอดเวลา หรืออุปสรรคของคลื่นหัวแตก แต่ฉลามก็ไม่ได้หวั่นเกรง "สมอเรือ" หมายถึง ทหารเรือ ในอดีตหลักสูตรจะรับเฉพาะทหารเรือเท่านั้น แต่ในปัจจุบันทางหน่วยได้รับทหารบก ทหารอากาศ และตำรวจเพิ่มด้วย ธงชาติ หมายถึง การยอมพลีเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
กฎสำคัญของเหล่านักเรียนนักทำลายใต้น้ำจู่โจม คือ มีจิตใจที่เข้มแข็ง กล้าที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ ตัดสินใจด้วยความเด็ดขาด รวดเร็ว แม่นยำ ถูกต้อง เอาตัวรอดได้โดยไม่ทิ้งเพื่อนหรือพวกพร้อง ที่สำคัญมีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การจะเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยซีลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ถ้าใครได้เข้ามายังหน่วยแล้วจะสร้างความภาคภูมิใจให้แก่พ่อแม่และวงศ์ตระกูลไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี