หลังจากที่กรมชลประทานลงพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาฝายท่าเชียด จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 10 ก.ค.61 ซึ่งมีพื้นที่กว่า 100,000 ไร่เศษ ประกอบด้วย 5 อำเภอ 8 ตำบล ประกอบด้วย อ.เขาชัยสน (ต.เขาชัยสน ต.จองถนน) อ.บางแก้ว (ต.ท่ามะเดื่อ ต.นาปะขอ ต.โคกรัก) อ.ตะโหมด (ต.แม่ขรี) อ.ป่าบอน (ต.ป่าบอน) และ อ.ปากพยูน (ต.ฝาละมี) เริ่มใช้งามาตั้งแต่ พ.ศ.2514
ในพื้นที่โครงการดังกล่าวนั้นเมื่อในอดีตจะเป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด เพราะสภาพดินเหมาะแก่การปลูกข้าว สภาพฝนก็มากพอ มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 2,642 มิลลิเมตรต่อปี แต่เมื่อเกษตรกรขยายพื้นที่การเกษตรทำให้ไม่มีแหล่งน้ำสำหรับใช้ในกสารเกษตรได้เพียงพอ นอกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จึงทำให้ขาดแคลนน้ำในพื้นที่ขึ้น เกษตรกรจึงหันมาปลูกยางพารา และปาล์มมากขึ้น เนื่องจากราคายางพาราในขณะนั้นสูงอยู่ที่กิโลกรัมละ 100-200 บาท พื้นที่ในการทำนาจึงเปลี่ยนเป็นพื้นที่สวนยาง 90,000 ไร่ สวนปาล์มน้ำมัน 9,000 ไร่ ในขณะที่เหลือนาข้าวประมาณ 5,000 ไร่
สำหรับการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกพืชไร่ไปเป็นพืชสวนหรือไม้ยืนต้นจึงมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาฝายท่าเชียด ซึ่งปัญหาน้ำที่มีอาการขาดแคลนของท่าเชียดมีจากหลายสาเหตุ เช่น โครงการมีสภาพทรุดโทรม และไม่เหมาะสำหรับบริบทการใช้ประโยชน์ที่ดินใหม่ จากเดิมที่เป็นนาข้าวเกือบทั้งหมด เปลี่ยนเป็นสวนยางพาราเป็นส่วนใหญ่ และสวนปาล์มน้ำมันบางส่วน
ปัญหาเรื่องน้ำอีกประการหนึ่งเกิดจากกลุ่มผู้ใช้น้ำยังไม่เข้มแข็ง แม้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำ (JMC) ขึ้นมา แต่ในชั้นแรกที่ให้เลือกตั้งคณะกรรมการกันเองกลับไม่ประสบผลสำเร็จ จนล่าสุด ต้นปี 2561 ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ตัดสินใจเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ โดยแต่งตั้งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และนายอำเภอ 5 อำเภอ เป็นกรรมการร่วมกับเกษตรกรและตัวแทนกรมชลประทาน ทำให้การขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำโครงการท่าเชียดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น
เมื่อมีมติใดๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ เช่น การจัดสรรน้ำ การแบ่งรอบเวรส่งน้ำ ฯลฯ ก็กระจายข่าวให้ทุกภาคส่วนรับรู้และนำไปปฏิบัติ คาดว่าจะทำให้กลุ่มผู้ใช้น้ำเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ และช่วยให้การบริหารจัดการน้ำโครงการฝายท่าเชียดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น ยังวางแผนเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน โดยเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำคลองหัวช้าง จากความจุ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 3 ล้านลูกบาศก์เมตร พร้อมๆ กับเสริมสันฝายท่าเชียด เพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักในลำน้ำเดิม 5 แสนลูกบาศก์เมตร เป็น 8 แสนลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 3 แสนลูกบาศก์เมตร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการน้ำของเกษตรกรได้ดียิ่งขึ้น
ความหลากหลายซับซ้อนของการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการปรับเปลี่ยนเหล่านี้ ทำให้การบริหารจัดการน้ำโครงการท่าเชียดมีความละเอียดอ่อนกว่าปกติ นอกจากอาศัยความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ใช้น้ำเข้าไปจัดการส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งการวางแผนปรับปรุงโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าเชียด ยังต้องเพิ่มความยืดหยุ่นสูงกว่าปกติ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ
นายเฉลิมเกียรติ คงวิเชียรวัฒน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้แก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำของพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่าเชียด ด้วยการก่อสร้างแหล่งน้ำต้นทุน คืออ่างเก็บน้ำคลองหัวช้างที่อยู่ด้านเหนือ ความจุ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อส่งน้ำตามลำน้ำเดิมมายังคลองท่าเชียดระยะทาง 30 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำของท่าเชียดได้ระดับหนึ่ง
"แต่สถานการณ์ไม่เป็นดังแผนเสียทีเดียว เนื่องจากมีการสูบน้ำระหว่างทางจากเกษตรกรที่อยู่ท้ายอ่างเก็บน้ำคลองหัวช้าง เหนือท่าเชียด ซึ่งไม่อยู่ในแผนการส่งน้ำแต่อย่างใด ทำให้ปริมาณน้ำมาถึงท่าเชียดไม่เป็นไปตามแผน ถ้าเราไม่รักษาบ้านเราเอง แล้วใครจะมาช่วยรักษา จะให้คนข้างนอกมารักษาให้คงไม่มีหรอก เพราะฉะนั้นคนในพื้นที่จะต้องสามัคคีกัน" รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
นายเฉลิมเกียรติ กล่าวอีกว่า ผลกระทบในพื่นที่นั้น เป็นเพราะว่าน้ำท่วมตลอด และน้ำท่วมขังค่อนข้างนาน จากเดิมเกษตรกรในพื้นที่ทำนาเป็นส่วนมาก แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปจากข้าวเป็นสวนยาง ปาล์ม จำนวนมากขึ้น ซึ่งในส่วนการจัดการน้ำก็ยังเป็นหน้าที่ของกรมชลประทานอยู่ หากน้ำท่วมเราก็ต้องเข้ามาช่วยแก้ไข ทั้งนี้ มีชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มก็ซื้อดินมาถมทับพื้นที่ของชลประทาน เราจึงต้องพูดคุยกันให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นจะต้องขยายคลองเพิ่ม เพื่อปรับปรุงคลองส่งน้ำ และ มีการขุดลอกคลองธรรมชาติเพิ่ม
ด้านนายเอิบ ยางสูง กำนันตำบลเขาชัยสน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่จะกลับมาทำนาอีกครั้ง แต่จะทำนาในรูปแบบสวนผสม ซึ่งมีการวางแผนและลงพื้นที่ในการให้ความรู้กับชาวบ้าน เหตุที่เราหันมาทำสวนผสมเนื่องจากเดิมเรามีการปลูกยางจำนวนมากแล้วราคายางตก เราจึงกลับมาทำเกษตรแบบผสมผสานหรือเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อมีกินมีใช้ สำหรับฝายท่ายเชียดที่เราใช้น้ำอยู่บางจุดก็มีการชำรุด แต่ก็มีการรักษาบำรุงกันมาเรื่อยๆ หากเรากลับมาทำสวนผสมน่าจะมีน้ำใช้เพียงพอในการทำสวนผสม
ส่วน นายปรานี นิลิโมจน์ ชาวบ้านบ้านควนพระ ต.ฝาละมี อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง กล่าว การที่ชาวบ้านกลับมาทำสวนผสมนั้น เพราะครั้งแรกที่เขาเปลี่ยนมาทำนาแล้วไม่ได้ผลผลิตที่ดี เพราะนำไม่เพียงพอ จึงเปลี่ยนไปปลูกยางพารา แต่ราคายางพาราตกต่ำ ระยางพารากับทำนาตนเห็นว่าการทำนามีได้ผลประโยชน์มากกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชาวบ้านต้องการที่จะมีอาชีพที่ดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวบ้านจะยอมเปลี่ยนแปลงเองโดยที่ไม่ต้องบังคับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี