การเมืองไทยเวลานี้ต้องบอกว่าค่อยๆ คึกคักขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม้ว่ารัฐบาลทหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองต่างๆ ให้ทำกิจกรรมในนามพรรคอย่างเป็นทางการ แต่บรรดานักการเมืองดังๆ ไม่ว่าหน้าเก่าหน้าใหม่ล้วนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงนักวิชาการและกลุ่มประชาชนสารพัดเครือข่ายก็กล้าที่จะเปิดตัวออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช. ในหลากหลายเรื่องมากขึ้น บรรยากาศวันนี้จึงหมายถึงการโหมโรงอุ่นเครื่องก่อนจะมีการเลือกตั้งใหญ่ที่หากไม่มีเหตุให้เลื่อนอีก ก็น่าจะอยู่ในเดือน ก.พ. 2562
และเรื่องหนึ่งที่มีการตั้งข้อสังเกตกันมากคือ “รัฐธรรมนูญฉบับ 2560” โดยเริ่มตั้งแต่เหตุผลที่ รธน. ฉบับดังกล่าวผ่านประชามติเมื่อ 7 ส.ค. 2559 จนสามารถประกาศใช้ได้เมื่อ 6 เม.ย. 2560 เป็นเพราะประชาชนชื่นชอบ รธน.นี้จริงๆ หรือไม่อยากให้ รธน. ไม่ผ่านเพราะจะต้องมาเสียเวลาร่างกันใหม่ทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปอีกหรือไม่? หรือ “เซ็ทซีโร่” (Set Zero) การให้กรรมการองค์กรอิสระพ้นสภาพทั้งคณะ ทั้งที่ได้รับการสรรหามาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเดิมใน รธน. 2550 ที่มีคำถามว่าเหตุใดบางองค์กรรอดบางองค์กรไม่รอด
รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดเสวนาเรื่อง “โรดแมป : สิทธิมนุษยชนบนเส้นทางประชาธิปไตย” เนื่องในโอกาสครบ 17 ปีการก่อตั้ง กสม. ก็มีการอภิปรายปัญหาของ รธน. 2560 เช่นกัน ไล่ตั้งแต่ วัสติงสมิตร ประธาน กสม. กล่าวว่า สำหรับ กสม. ชุดที่ 3 หรือชุดปัจจุบัน มีการปฏิรูปการตรวจสอบและการจัดทำรายงานให้รวดเร็ว ถูกต้องและครบถ้วนขึ้น
โดยสามารถสรุปเรื่องร้องเรียนที่เข้ามายัง กสม. ไปได้ถึงร้อยละ 75 จากเดิมก่อนหน้านั้นที่ทำได้เพียงร้อยละ 10 แต่เป็นที่น่าเสียดายเพราะไม่อาจอยู่จนครบวาระตามกฎหมาย กสม. ฉบับเดิมที่ กสม. มีวาระ 6 ปี เนื่องจากถูกเซ็ทซีโร่ไปด้วยสาเหตุว่าคุณสมบัติของ กสม. ตาม รธน. 2560 ตั้งไว้สูงกว่าเดิม ซึ่งเชื่อว่าหากได้อยู่ต่อจนครบวาระ คงเหลือเรื่องร้องเรียนที่ค้างใน กสม. เพียงไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้น
“การเซ็ทซีโร่อ้างว่าเราถูกลดสถานะจากเอเป็นบี ซึ่งเหตุผลข้อนี้ใช้อ้างไม่ได้เพราะเรื่องนี้ไม่ได้ปรากฏในหลักการปารีส และข้อเท็จจริงมันก็ขัดกันด้วย การตรวจสอบข้อร้องเรียนเราก็เร็วขึ้นจนเป็นที่พอใจขององค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ถ้าจะจำกัดขอบเขตให้แคบลงมาคือเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่อียู (EU-สหภาพยุโรป)เราก็ไปเยี่ยมมาแล้ว” วัส กล่าว
นอกจากนี้ ปธ.กสม. ยังตั้งข้อสังเกตในประเด็น “สมาชิกวุฒิสภา (สว.)” ที่ตาม รธน. 2560 ระบุว่าให้มีจำนวน 200 คน แต่ในบทเฉพาะกาลกลับเขียนให้มีถึง 250 คนอีกทั้งใน 250 คนนี้มีที่มาค่อนข้างผูกขาดโดยบางองค์กรซึ่งไม่ได้มาจากระบบหลักทั่วไป และยังให้มี สว. โดยตำแหน่งถึง 6 คน เรื่องเหล่านี้ทำได้หรือไม่? แล้วจะขัดแย้งกับเส้นทางที่เราจะเดินไปสู่ประชาธิปไตยหรือเปล่า?
“ผู้ร่างหรือผู้ยกเลิก รธน. ปี 2550 ไป ได้ตั้งความหวังว่าจะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ความบาดหมางของพลเมืองที่แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ในท้ายที่สุดถ้าลักษณะ เนื้อหาสาระ รวมถึงวิธีการทั้งหลายแหล่ของ รธน. ปี 2560 ยังเป็นอย่างที่ปรากฏอยู่ ผมก็เชื่อโดยความเห็นส่วนตัวว่ายากที่จะเกิดขึ้นได้ และท้ายที่สุดผู้มีอำนาจรัฐในปัจจุบัน ก็ยังเดินหน้าไปสู่การเป็นรัฐบาลต่อไปภายหลังการเลือกตั้งทำให้เห็นได้ว่าความหวังที่ปัญหาจะยุติลงอย่างสันติ ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ในความเห็นส่วนตัวยังเลือนรางเต็มที” ปธ.กสม. กล่าวย้ำ
ขณะที่ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติคณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า-NIDA) กล่าวถึง รธน. 2560 (มาตรา 25) ว่าด้วยการจำกัดสิทธิของปวงชนชาวไทย “เป็นครั้งแรกที่ใส่คำว่าไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ต่างไปจาก รธน. ฉบับก่อนๆ ที่ระบุแต่เพียง 1.ไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น 2.ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี และ 3.ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ คำถามคือ “ความมั่นคงของรัฐจะตีความขนาดไหน?”หมายถึงความมั่นคงของรัฐบาล หรือความมั่นคงของนายกรัฐมนตรีหรือไม่? เรื่องนี้มั่นใจว่าถ้าไม่ชัดเจนย่อมจะกลายเป็นปัญหาในอนาคต
รวมถึงประเด็นเซ็ทซีโร่องค์กรอิสระก็เช่นกัน เพราะ “การตรากฎหมายต้องยึดหลักนิติธรรม คำถามคือแล้วการเลือกหรือไม่เลือกเซ็ทซีโร่องค์กรอิสระองค์กรใดเอาเหตุผลอะไรมาอธิบาย?” และเชื่อว่าในอนาคตเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่กระทบต่อประชาธิปไตย เพราะหากองค์กรใดที่ไม่ถูกเซ็ทซีโร่แล้วไปมีคำวินิจฉัยที่เอื้อต่อฝ่ายการเมือง ก็อาจจะถูกมองได้ว่า 2 มาตรฐาน และจะถูกนำมาขยายผลในภายหลัง
“มันขัดกับหลักกฎหมายให้มีผลย้อนหลัง ในทางกฎหมายมหาชนกฎหมายมีผลย้อนหลังได้ แต่รัฐจะต้องอธิบายว่ามันมีประโยชน์สาธารณะที่สำคัญเหนือกว่าหลักคุ้มครองความสุจริต ก็คือ กสม. ถ้าเข้ามาโดยสุจริตจะต้องอยู่ในวาระได้ตามกฎหมายที่กำหนด นี่คือหลักสุจริต ถ้าท่านจะลบล้างเหล่านี้ทำได้ แต่ท่านต้องอธิบายว่ามันมีประโยชน์สาธารณะที่เหนือกว่าอย่างไร ถ้าไม่มีหลักนี้ ถ้าอธิบายไม่ได้ ท่านกำลังใช้อำเภอจิตอำเภอกายในการปฏิบัติต่อองค์กรที่มีสถานะเหมือนกันให้แตกต่างกัน” อาจารย์บรรเจิด ระบุ
จากนักวิชาการสู่มุมมองภาคการเมือง พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เน้นไปที่ประเด็นบทเฉพาะกาลว่าด้วย สว. 250 คน โดยมองว่า “จะให้ไปรวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี” เพราะ สส. นั้นมี 500 คน หากให้ สว. มีจำนวน 200 คน ตามบททั่วไป อาจไม่เพียงพอที่จะเชิญผู้ที่อยากให้เป็นนายกฯ มาสู่ตำแหน่งได้
“สว. 250 คน 6 คน มาจากผู้บัญชาการทหารและตำรวจ อีก 244 คนต้องผ่าน คสช. ถ้า คสช. ไม่เห็นชอบก็ไม่มีโอกาส ถามว่าแล้ว สว. เหล่านี้จะมาให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระในอนาคต เชื่อถือได้ไหม? สบายใจไหม? ตอนนี้ก็มีคุณลุงที่แสดงท่าทีอยากกลับมาอีกแล้ว ถ้ากลับมาอีกกลไกที่วางไว้ก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถืออยู่แล้วในการตรวจสอบคนอื่น แล้วถ้าต้องมาตรวจสอบคุณลุงนี้ไม่ต้องพูดเลยว่าจะทำงานกันอย่างไร ไม่มีทางตรวจสอบหรอก แค่นาฬิกาไม่กี่เรือนตรวจมาหลายเดือนแล้วยังไม่ได้เรื่องเลย” พงศ์เทพ กล่าว
ด้านมุมมองจากต่างประเทศศ.(กิตติคุณ)ดร.วิทิต มันตาภรณ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้แทนไทยในคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ (UN) ฝากข้อคิดว่า แม้สิทธิบางประเภทอาจถูกจำกัดได้ เช่น การแสดงออกหรือการรวมกลุ่ม แต่การจำกัดต้องชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างมีเหตุผล และต้องจำกัดให้ได้สัดส่วนด้วย
อีกทั้งยังเรียกร้องไปยังรัฐบาล คสช. อาทิ 1.ลดการใช้กฎหมายจำกัดสิทธิการแสดงออกและการรวมกลุ่ม เช่น ข้อหายุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ รวมถึงคำสั่ง คสช. ที่ห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ซึ่งไม่สมเหตุสมผลในสายตาสากล ขณะที่ผู้ที่ถูกฟ้องข้อหาแสดงออกทางการเมืองโดยสงบควรยุติการฟ้อง อีกทั้งคดีการเมืองที่ยังค้างอยู่ในศาลทหาร ควรเปิดช่องให้อุทธรณ์ย้ายมาพิจารณาในศาลพลเรือน 2.การสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรเร่งดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว
3.ที่มาของ สว. ในช่วงแรกตามบทเฉพะกาล แม้จะเป็นการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจในปัจจุบัน ก็ขอให้เลือกคนที่มีประวัติดีกับประชาชนมากที่สุด และเอื้อเฟื้อต่อการเปิดพื้นที่ไม่ใช่เลือกแต่ผู้เป็นพรรคพวกอย่างเดียว แต่ในระยะยาว สว. ควรมาจากการเลือกตั้ง และ 4.มีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน รวมถึงให้มีการสังเกตการณ์การเลือกตั้งได้ อนึ่ง แม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว แต่การเรียกร้องเพื่อให้ผู้มีอำนาจเคารพสิทธิมนุษยชนก็ยังต้องดำเนินต่อไป
“ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งแล้ว เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้เป็นหลักประกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่ารัฐบาลนั้นจะเคารพสิทธิ์ทั้งปวงที่เราพูดถึง ฉะนั้นก็ต้องมีพลังร่วมกันมีคานแห่งอำนาจที่จะผลักดันให้ผู้มีอำนาจเคารพสิทธิ์ทั้งปวง ไม่ใช่แต่เลือกตั้งเท่านั้น แต่เรื่องขจัดความยากจนด้วย เรื่องชุมชน เรื่องสิ่งแวดล้อม นี่ก็เป็นสิทธิ์ที่เราเน้นในเรื่องการปฏิบัติแม้จะมาหลังจากการเลือกตั้ง” อาจารย์วิทิต กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี