เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน “สกู๊ปแนวหน้า” นำเสนอเรื่อง “วิชาชีวิต” จากจุดเริ่มต้นในศูนย์ฝึกและอบรม เด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก อันเป็นสถานพินิจสำหรับควบคุมตัวเยาวชนที่พลาดพลั้งทำผิดกฎหมาย สู่สถานศึกษานำร่องคือโรงเรียนวัดคู้บอนวัฒนานันท์อุทิศ กรุงเทพฯ เพื่อหวัง “ปรับทัศนคติ” เด็กและเยาวชนตามหลักคิด “กันไว้ดีกว่าแก้” ไม่ต้องรอให้ถูกจำกัดอิสรภาพเสียก่อนแล้วจึงได้เรียนรู้ (ตัดวงจรอาชญากรกำเนิด “วิชาชีวิต” ป้องกันแต่วัยเยาว์ : หน้า 5 นสพ.แนวหน้า ฉบับวันอาทิตย์ที่ 22 ก.ค. 2561)
ซึ่งจากงานเสวนา “จากวิชาชีวิต..สู่การแนะแนวเชิงรุกเพื่อเพิ่มทุนชีวิตนักเรียน : โอกาสและความท้าทาย” ที่นำเสนอไปในครั้งก่อน ทั้งผู้อำนวยการบ้านกาญจนาฯ ทิชา ณ นคร และอาจารย์ รร.วัดคู้บอนฯ ทศทัศน์ บุญตา ยืนยันว่าการฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีวิตลดปัญหาของเยาวชนโดยเฉพาะกลุ่ม “เด็กหลังห้อง” ถูกหลงลืมจากระบบการศึกษากระแสหลักได้จริง สัปดาห์นี้จึงขอนำเนื้อหาโดยสรุปทั้ง 8 ส่วน ของวิชาชีวิตมาให้ทุกท่านได้รับทราบกัน
เอกสารรายงาน “กระบวนการสร้างความเป็นพลเมือง : กรณีตัวอย่างบ้านกาญจนาภิเษก” ซึ่งจัดทำโดย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงวิชาชีวิตทั้งหมด 8 เนื้อหา ได้แก่ 1.ผู้รอดบนความขาดพร่อง อย่างที่กล่าวไปแล้วในครั้งก่อนว่า เยาวชนที่ทำผิดถูกส่งไปควบคุมที่บ้านกาญจนาฯ กว่าครึ่งมีปัญหาครอบครัวและคิดว่านั่นคือปมด้อย เช่นเดียวกับประสบการณ์การเป็นครู 7 ปีของอาจารย์ทศทัศน์ ที่พบว่าโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เด็กร้อยละ 80 มาจากครอบครัวที่ไม่พร้อม
สาระสำคัญของเนื้อหาผู้รอดความขาดพร่อง ต้องการให้ผู้รับการอบรมมองเห็นและคิดได้ว่า “ระหว่างสิ่งที่ขาดหายกับสิ่งที่เหลืออยู่..เราควรให้คุณค่ากับอะไร?” ผ่านกิจกรรมการศึกษาชีวประวัติบุคคลผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ ผ่านภาพยนตร์บ้าง รายการโทรทัศน์บ้าง หนังสือบ้าง นำมาเป็นหัวข้อให้ได้พูดคุยร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็จะพบว่าผู้ยิ่งใหญ่ในห้วงประวัติศาสตร์หลายคนไม่ได้มีพื้นเพครอบครัวที่สมบูรณ์ บ้างยากจน บ้างกำพร้าพ่อแม่ และบางคนแม้แต่ร่างกายก็ไม่สมประกอบ แต่ด้วยวิธีคิดบางอย่างทำให้คนเหล่านี้ก้าวข้ามสิ่งที่ขาดขึ้นมาเป็นผู้รอดได้
2.การละเมิดสิทธิและอาชญากรรม เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการแสดงออกเพื่อให้ได้รับการยอมรับ บางครั้งด้วยความคึกคะนอง โชว์เพศตรงข้ามบ้าง โชว์เพื่อนบ้าง หรือบางทีก็เป็นเพราะอารมณ์ร้อน อาจทำอะไรลงไปอย่างไม่ทันได้คิดโดยเฉพาะ “ความรุนแรง” จึงต้องสร้างจุดเปลี่ยนทางความคิดให้กับเยาวชน ผ่านเรื่องราวความรุนแรงที่เกิดขึ้นในข่าวบ้าง ในภาพยนตร์บ้าง นำมาเป็นกรณีศึกษา ร่วมคิด พูดคุย ตั้งและตอบคำถามถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ นำไปสู่การเข้าใจความรุนแรง มีดุลยพินิจที่แหลมคมขึ้นเมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ
3.พฤติกรรมทางเพศและความรุนแรงต่อผู้หญิง สร้างความเข้าใจให้เห็นถึงผลกระทบต่อการกระทำความรุนแรงของผู้ชายต่อผู้หญิง ที่หลายครั้งไม่ได้กระทบเฉพาะตัวผู้หญิงที่ถูกกระทำเท่านั้น แต่ยังส่งไปถึงเด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงนั้นด้วย ซึ่งแน่นอนเยาวชนหลายชีวิตในบ้านกาญจนาฯ รวมถึงอีกหลายคนในประเทศไทยก็เติบโตมาภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้
4.ต้นทุนการเลือกค่านิยม ในชีวิตของคนเรามีช่วงเวลาที่ “ต้องเลือก” มากมาย ทั้งที่เลือกแล้วผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย แต่ทางที่เลือกนั้นก็มี “ราคาที่ต้องจ่าย” แตกต่างกันไป กิจกรรมว่าด้วยต้นทุนการเลือกค่านิยมนี้จะพาผู้เข้ารับการอบรมไปวิเคราะห์ข่าว “เรื่องฮิตๆ ของสังคมที่พบได้ทั่วไป” เช่น เยาวชนชายแห่ไปสักยันต์หรือไปทำวิธีการต่างๆ เพื่อให้อวัยวะเพศใหญ่ขึ้น หรือวัยรุ่นหญิงแห่จัดฟันแฟชั่น ใส่คอนแทคท์เลนส์แฟชั่น
หรือข่าวคนเมาเสื้อผ้าหลุด แสดงท่าทางแบบไม่ละอายสายตาคนผ่านไปมาเพราะขาดสติ ฯลฯ ผ่านการกระตุ้นให้ “ลองคิดในบทบาทต่างๆ” เช่น ถ้าเป็นพ่อแม่หรือเป็นลูกหลานของคนที่ตกเป็นข่าว เป็นคนในสังคมที่เห็นข่าว ฯลฯ จะรู้สึกอย่างไร? เปิดมุมมองให้เห็นว่าสิ่งที่เลือกย่อมมีผลกระทบตามมา และบางครั้งผลกระทบก็ไม่ได้อยู่เฉพาะตัวผู้กระทำ แต่ยังส่งต่อถึงคนรอบข้างด้วย
5.กระตุ้นความเป็นมนุษย์ใฝ่ดีสำนึกดี กิจกรรมนี้จะถือว่า “ต่อยอด” จากกิจกรรมผู้รอดบนความขาดพร่องก็คงไม่ผิดนัก เพราะเป็นการ “เจาะลึก” ลงไปในประวัติบุคคลที่ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายในชีวิต ว่าคนเหล่านี้สามารถ “รักษาความเป็นมนุษย์” ที่ยังคิดดีทำดีในขณะที่ถูกสถานการณ์แวดล้อมบีบคั้นกดดันได้อย่างไร เป็นการ “สร้างแรงบันดาลใจ” ให้กับผู้รับการอบรม
6.การหลบหนีและผลลัพธ์ที่ตามมา เพราะชุดวิชาชีวิตเกิดขึ้นในสถานพินิจที่ควบคุมตัวเยาวชนผู้ผิดพลั้ง อีกทั้งบรรยากาศในบ้านกาญจนาฯ ไม่เหมือนสถานพินิจแห่งอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้มีรั้วกำแพงสูง การทำให้เยาวชนเห็นว่า “หากหลบหนีไปก่อนครบกำหนดจะเป็นอย่างไร?” จึงจำเป็นมาก โดยเฉพาะให้เข้าใจว่า “การต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ” เช่น ต้องปิดบังชื่อ-นามสกุลจริง ต้องย้ายที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย และหลายคนแม้จะหลบหนีคดีไปนานแต่ก็ถูกจับกุมจนได้ในท้ายที่สุด
7.ชมภาพยนตร์และร่วมคิดร่วมคุยร่วมเขียนหลังชมภาพยนตร์ เพราะภาพยนตร์เป็นความบันเทิงที่เข้าถึงผู้คนได้ง่าย แต่ก็สร้างผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบกับผู้ชมได้ด้วยเช่นกัน กิจกรรมนี้จะเน้นวิเคราะห์ทั้ง “ด้านมืด - มุมสว่าง” ของบทหรือฉากต่างๆ ในภาพยนตร์ที่ได้ชม เพื่อหาแง่คิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ และ 8.การตอบกระทู้เพื่อพัฒนาเป็นกติกาหรือข้อตกลง เป็นการฝึกให้เยาวชนรู้จักออกแบบข้อตกลงการใช้ชีวิตร่วมกันของกลุ่มสังคม อันจะทำให้สมาชิกปฏิบัติตามอย่างเข้าใจและเต็มใจ มากกว่าการใช้วิธีข่มขู่บังคับด้วยอำนาจ
ทั้ง 8 กิจกรรมนี้ บทเรียนจากบ้านกาญจนาฯ พบว่าปัจจัยสำคัญว่าจะได้ผลตามที่หวังไว้หรือไม่? ขึ้นอยู่กับ “ความจริงจังและจริงใจ” ของบุคลากรตั้งแต่เจ้าหน้าที่ขึ้นไปถึงผู้อำนวยการ โดยเฉพาะ “ต้องไม่มีเรื่องราวที่ถูกละเลย” บันทึกของเยาวชนทุกคนถูกอ่านและได้รับคำแนะนำอย่างเป็นมิตร เช่นเดียวกับเรื่องเล่าจาก รร.คู้บอนฯ ที่อาจารย์ทศทัศน์ กล่าวว่า “ต้องเข้าหาด้วยความเป็นมิตร” เปิดพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้พูดได้แสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกัน “ผู้ปกครองก็ต้องให้ความร่วมมือ” ประสานกับทางโรงเรียนด้วยผ่านกิจกรรมเยี่ยมบ้าน
มีคำกล่าวที่พูดกันมากในปัจจุบันว่า “โลกศตวรรษที่ 21 วิชาการตามทันกันไม่ยาก” เพราะเทคโนโลยีอินเตอร์เนตทำให้ความรู้ต่างๆ ถูกค้นหาเพื่อศึกษาได้เพียงปลายนิ้ว คุณภาพคนยุคนี้และต่อไปจึงวัดกันที่ “บุคลิกภาพ” ซึ่งต้องบ่มเพาะกันตั้งแต่ยังเยาว์วัยให้มี “หลักคิด” ที่ถูกที่ควร สามารถควบคุมและประคับประคองชีวิตให้ผ่านพ้นสถานการณ์ต่างๆ ได้ ดังนั้นวิชาชีวิตทั้ง 8 กิจกรรมจึงน่าจะถูกนำไปประยุกต์และขยายผลในโรงเรียน
เพื่อลดปัญหา “คนหลงทาง” ที่อย่างเบาคือเสียเวลา..แต่อย่างหนักอาจถึงขั้นเสียอนาคต!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี