ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) หมายถึงการที่ความร้อนจากดวงอาทิตย์ผ่านเข้ามาในโลกแต่ไม่สามารถออกไปจากโลกได้เนื่องจากชั้นบรรยากาศของโลกมีก๊าซบางชนิดปกคลุมอยู่ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์มีเทน ไนตรัสออกไซด์ คลอโรฟลูออโรคาร์บอน มากกว่าสมดุลตามปกติของธรรมชาติเนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ไปเพิ่มปริมาณก๊าซดังกล่าวให้มากขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น ซ้ำร้ายก๊าซบางชนิดยังทำลายบรรยากาศชั้นโอโซนของโลก ทำให้รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์เข้ามามากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ด้วยเหตุนี้ในระดับนานาชาติจึงมีความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) เริ่มใช้ในปี 2548 ทว่าในความเป็นจริงก๊าซเรือนกระจกมักถูกปล่อยจากบรรดาประเทศที่ใช้อุตสาหกรรมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงเกิดกลไกหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) ให้ประเทศเหล่านั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้วไป “ซื้อโควตา” จากประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพ ให้ทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกแทนตน
สำหรับประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2550 คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นมีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ขึ้นเนื่องจากไทยเองก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาโครงการที่จะนำไปสู่การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้กลไก การพัฒนาที่สะอาด (CleanDevelopment Mechanism : CDM)ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของภาคเอกชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินโครงการที่มีส่วนช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างยั่งยืน
ประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือเรียกย่อๆ ว่า“อบก.” กล่าวถึงภารกิจตลอด 11 ปีของการก่อตั้งหน่วยงาน ว่าแม้ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยตรง แต่ทาง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่มีการออกพ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ.2546 ได้มีประกาศตาม พ.ร.บ. นี้เพิ่มเติมในปี 2553 ให้รวมคาร์บอนเครดิตเข้าไปด้วย ซึ่งสามารถปรับใช้กันได้
ทั้งนี้ในปัจจุบันการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นการซื้อขายโดยสมัครใจระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยผู้พัฒนาโครงการเพื่อนำไปขอยื่นขายคาร์บอนเครดิต ต้องจัดทำรายงานประกอบการพิจารณา เรียกว่า“T-VER” (Thailand Voluntary EmissionReduction Program) หรือการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย โดยมีการตรวจสอบความใช้การได้ (Validation) จากผู้ประเมินภายนอก ก่อนนำมาขอขึ้นทะเบียนกับทาง อบก.
ซึ่งเมื่อโครงการใดได้ขึ้นทะเบียน T-VER และเริ่มดำเนินโครงการแล้ว ผู้พัฒนาโครงการจะต้องติดตามผลว่าโครงการของตนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่เสนอไว้ได้ โดยจะมีการสอบทานยืนยัน (Verification) อีกครั้ง เพื่อรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกของโครงการนั้นๆ และออกคาร์บอนเครดิตให้สามารถนำไปใช้ซื้อขายในตลาดภาคสมัครใจภายในประเทศได้
“โดยทาง อบก. เอง ก็มีการจัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้อย่างต่อเนื่องมีการสนับสนุนการตรวจสอบความใช้การได้ของโครงการรวมถึงการสอบทานยืนยัน จัดกิจกรรมผู้ซื้อพบผู้ขายอย่างต่อเนื่องเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกมีโอกาสพบผู้เกี่ยวข้องในตลาด สร้างเครือข่ายระหว่างผู้พัฒนาโครงการกับผู้ซื้อคาร์บอนเครดิต ส่งเสริมให้ผู้พัฒนาโครงการของไทยได้เจรจาธุรกิจการซื้อขายคาร์บอนเครดิตรวมถึงร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทที่สนใจซื้อคาร์บอนเครดิตของโครงการในไทยผ่าน อบก. มากกว่า 100 บริษัท”
อย่างไรก็ตาม อบก. ยังมีภารกิจอื่นนอกเหนือจากการส่งเสริมและควบคุมมาตรฐานการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของไทย นั่นคือการเป็นศูนย์กลางข้อมูลสถานการณ์ก๊าซเรือนกระจก ให้ความรู้และคำแนะนำทางวิชาการด้านการจัดการจัดการก๊าซเรือนกระจก พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้วยการสร้างความรู้และความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงสนับสนุนการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
11 ปีของ อบก. พบว่ามีหลายภาคส่วนให้ความสนใจเข้าร่วมทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจก โดย 3 อันดับโครงการยอดนิยม อันดับ 1 “พลังงานทางเลือก” (Alternative Energy : AE) เช่น กังหันผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม แผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ไบโอดีเซล ก๊าซชีวภาพ ฯลฯ มีตั้งแต่ระดับภาครัฐทั้งหน่วยงานด้านพลังงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาคเอกชนที่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากหลายอุตสาหกรรม รวมๆ กันแล้วคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 1.49 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e / y)
อันดับ 2 “การจัดการขยะและของเสีย” (Waste Management) นำมาผลิตเป็นพลังงานหมุนเวียน มีทั้งบริษัทเอกชน อปท. มหาวิทยาลัย คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 7.43 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e / y) และ อันดับ 3 “การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า” (Energy Efficiency)เป็นอีกโครงการที่ได้รับความนิยมจากหลายหน่วยงาน นอกจากภาคอุตสาหกรรมแล้วยังมีผู้ประกอบการโรงแรมรวมถึงธนาคารเข้าร่วมด้วย โดยคาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 4.58แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e / y)
รวมถึงยังมีโครงการประเภทอื่นๆ เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ป่า (Forest) การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Agriculture) ทั้งนี้แนวโน้มในทางสากล มีความเป็นไปได้ที่ตลาดคาร์บอนเครดิตจะกลับมามีมูลค่าสูงหลังปี 2563 สืบเนื่องจาก ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ในปี 2558 ทำให้ประเทศต่างๆ ทั้งพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนามีความพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กำหนดให้สายการบินซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน
ถึงกระนั้น แนวโน้มของตลาดคาร์บอนในอนาคต แต่ละประเทศอาจมีตลาดของตนเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ แต่ตลาดคาร์บอนของชาติต่างๆ อาจเชื่อมโยงกันเป็นเครื่องมือเพื่อให้แต่ละประเทศสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกันได้ซึ่งต้องรอความชัดเจนในการใช้ผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ (International Transferred Mitigation Outcomes : ITMO) ภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสเสียก่อน ซึ่งคาดว่าจะได้แนวทางราวปลายปี 2561!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี