30 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้พบกับนายอยู่ กลั่นเกตุ อายุ 99 ปี (อดีตคนตรวจค่ายญี่ปุ่น) ซึ่งในอดีตค่ายตั้งอยู่ใกล้บริเวณสะพานจุฬาลงกรณ์ ที่กำลังมีการกู้หัวรถจักรและระเบิดที่ถูกทิ้งตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นคนไทยในยุคสงครามโลกคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่และยังสามารถเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ โดยปัจจุบันนายอยู่ กลั่นเกตุ อาศัยอยู่ในจังหวัดราชบุรี สุขภาพร่างกายแข็งแรง เดินได้คล่องแคล่ว ความจำดีเยี่ยม
โดยคุณปู่อยู่ เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นชาวราชบุรีโดยกำเนิดอาศัยอยู่ในบ้านที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณปู่มีอายุกว่า 300 ปี ปัจจุบันตนอยู่กับภรรยาและหลานๆ ส่วนลูกทั้ง 7 คน เสียชีวิตหมดแล้ว เหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนที่ทหารญี่ปุ่นได้มาตั้งค่ายตั้งแต่ปี 2485 โดยใช้พื้นที่ของวัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี และพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ทอดข้ามลำน้ำแม่กลอง ที่จะออกสู่กรุงเทพฯ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯให้มีกิจการรถไฟ เฉพาะสำหรับสายใต้ได้เชื่อมถนนรถไฟ จากสถานีรถไฟบางกอกน้อยไปถึงสถานีรถไฟเพชรบุรี ทรงโปรดฯให้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองสำหรับทั้ง รถยนต์และรถไฟ และทรงเสด็จเปิดพร้อมพระราชทานนามว่า "สะพานจุฬาลงกรณ์" เมื่อปี พ.ศ.2444 การคมนาคมขนส่ง จากกรุงเทพฯ มาราชบุรี สู่ภาคใต้จึงสะดวกมากยิ่งๆ ขึ้น
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แถบเอเชียก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา เช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 กองทัพญี่ปุ่นอันเป็นฝ่ายอักษะ ได้ยกพลขึ้นบกที่ฝั่งทะเล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่าน เข้ายึดประเทศพม่า ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตร ศัตรูของญี่ปุ่น โดยที่กองทัพญี่ปุ่นได้เคลื่อนพลจากนครศรีธรรมราช ผ่านสุราษฎร์ธานี-ชุมพร-ประจวบคีรีขันธ์-เพชรบุรี-ราชบุรี สู่กาญจนบุรี ซึ่งที่กาญจนบุรี กองทัพญี่ปุ่นต้องเกณฑ์เชลยศึกมาสร้างสะพาน เพื่อยกพลทางรถไฟเข้าสู่พม่า เกิดตำนาน"สะพานข้ามแม่น้ำแคว" มีเชลยศึกล้มตายจำนวนมาก
คุณปู่อยู่ เล่าให้ฟังต่อว่า เหตุการณ์ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นผ่านที่จ.ราชบุรี ได้นำกำลังส่วนหนึ่งมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่ ตนเองในตอนนั้นอายุประมาณ 22 ปี ทำหน้าที่คอยโบกธงตรวจตราเรือของทหารญี่ปุ่นที่เดินทางมายังค่ายบริเวณท่าน้ำหัวเกาะวัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม และยังทำหน้าที่คอยเดินตรวจตราค่ายของทหารญี่ปุ่นเพื่อให้เกิดความสงบสุขสามารถอยู่กันได้ โดยที่บ้านของตนเองจะเป็นสถานที่เก็บเหล้าที่ทหารญี่ปุ่นบรรทุกมากับเรือ ซึ่งทำอยู่ราว 3 ปี ก่อนที่ทางการจะแต่งตั้งให้ตนเองเป็นไทยเสรี เพื่อทำหน้าที่ดูกองทัพญี่ปุ่น
หลังจากนั้น คุณปู่อยู่ ได้พาผู้สื่อข่าวไปยังสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ จุดที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้ทิ้งระเบิดจำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรกในคืนวันที่ 14 มกราคม2488 ครั้งที่ 2 คืนวันที่ 30มกราคม 2488 และครั้งสุดท้าย คืนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2488 ซึ่งเป็นลูกระเบิดแบบตั้งเวลา มาระเบิดในรุ่งเช้าของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2488 ทำให้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ฝั่งตัวเมืองราชบุรีขาดได้รับความเสียหาย ไม่สามารถใช้สัญจรได้ ส่งผลให้กองทัพญี่ปุ่น ไม่สามารถซ่อมแซมสะพานจุฬาลงกรณ์กลับได้ทันเวลา จึงเลือกที่สร้างทางรถไฟใหม่ ทางด้านเหนือน้ำ (แนวสะพานธนะรัชต์ปัจจุบัน) โดยระดมไม้เสา ไม้ซุง ต่างๆ มาปักทำเป็นตอม่อชั่วคราว
"กลยุทธที่ทำสะพานคือทหารญี่ปุ่นให้ทางชาวไทยไปหาท่อนซุงหรือ ต้นไม้มาทำเสาตอหม้อ โดยชาวไทยได้นำไม้นิ้ว หรือไม่นุ่น ขนาดใหญ่มาให้ทางญี่ปุ่น ซึ่งเห็นว่าเป็นไม้ท่อนใหญ่จึงให้นำไปเสาตอหม้อสะพาน โดนไม้นิ้ว หรือไม้นุ่น เป็นไม้ที่เปาะและหักโค่นง่าย ส่วนที่พื้นสะพานและราวสะพานทางญี่ปุ่นได้เลือกใช้ไม้สักทองเพราะคิดว่าเป็นไม้เนื้อแข็ง จนสามารถสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลงอได้สำเร็จเรียบร้อย ญี่ปุ่นจึงนำหัวรถจักรของ รฟท. มาลองวิ่งทดสอบดู เริ่มต้นตั้งแต่หัวสะพานฝั่งด้านเมืองราชบุรี ขาล่องใต้ วิ่งข้ามไปยังฝั่งค่ายบูรฉัตร ขาเข้ากรุงเทพฯ การวิ่งบนสะพานรถไฟชั่วคราวผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นได้ทดลองวิ่งถอยหลังกลับมาทางฝั่งเมืองราชบุรี ปรากฏว่า ตอม่อชั่วคราวไม่สามารถทานน้ำหนักได้เนื่องจากเป็นไม้ที่เบาะหักง่าย สะพานจึงหัก ส่งผลให้หัวรถจักรที่นำมาทดลองวิ่งจมลงสู่ใต้น้ำบริเวณใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ที่ปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานจนถึงปัจจุบัน ทำให้หทารญี่ปุ่นไม่สามารถใช้เส้นทางสู่ทางภาคใต้ ส่วนผู้นำทัพทหารญี่ปุ่นไม่สามารถดูแลกองกำลังผลและปฏิบัติภาระกิจไม่ทำเสร็จ จึงได้จบชีวิตตนเองต่อหน้ากำลังพลด้วยการใช้มีดคว้านท้อง ส่วนศพได้ทำการฝังที่บริเวณวัดเกาะนัมมทาปทวลัญชาราม และที่หน้าวัดศรีชมพูราชศรัทธาราม ถนนมนตรีสุริยวงศ์ ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี ในปัจจุบัน" คุณปู่อยู่ กล่าว
คุณปู่อยู่ เล่าต่ออีกว่า ส่วนลูกระเบิดที่ทางฝ่ายสัมพันธมิตรได้นำมาทิ้งเพื่อระเบิดสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์นั้นตนจำได้ว่า ลูกระเบิด ขนาด 1,000 ปอนด์ หลงเหลือจำนวน 3 ลูกที่อยู่ในแม่น้ำแม่กลอง บริเวณใกล้เคียงกับหัวรถจักรที่จมอยู่ใต้แม่น้ำแม่กลองและไม่มีการระเบิดมาจนถึงปัจจุบันก็ราวกว่า 73 ปีแล้ว หลังจากที่ค่ายญี่ปุ่นแตกตนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติและก็ยังคงเป็นไทยเสรี ซึ่งก็ได้ไม้สักทองที่ได้จากการก่อสร้างสะพานรถไฟที่พังทลายลงจำนวน 7 ชิ้น และได้นำมาแปลรูปเป็นไม้เท้าแขนผนังบ้านกับหลังคาที่ด้านหน้าของตัวบ้านหลังดังกล่าว และยังคงจำภาพและเรื่องราวในเหตุการณ์ครั้งนั้น หรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เป็นอย่างดีไม่มีวันลืมเรือนแม้จะอายุยาวนานมาจนถึงวันนี้ 99 ปี
ส่วนทางด้านการเตรียมความพร้อมในการเก็บกู้วัดถุระเบิด กับ หัวรถจักร ที่อยู่ภายในใต้น้ำแม่น้ำแม่กลอง นายวีรัส ประเศรษโฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ประธานคณะทำงานเพื่อประสานงานและดำเนินการการก่อสร้างรถไฟทางคู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางคณะทำงานได้มีการเตรียมความพร้อมและพูดคุยกันแล้ว โดยในวันที่ 10 กันยายน 61 นี้ ทางจังหวัดราชบุรี และรฟท. ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งมด ทั้งในด้านการทำลายวัตถุระเบิด หน่วยซีล นักประดาน้ำ ทหารอากาศ ทหารเรือ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้าร่วมประชุมและวางแผนในการดำเนินการ คาดว่าช่วงประมาณต้นปี 2562 จะได้ดำเนินการกู้ขึ้นมา ส่วนช่วงนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะอยู่ในช่วงน้ำหลากที่เกิดจากการพร่องน้ำของเขื่อนแม่กลองที่จังหวัดกาญจนบุรี น้ำในแม่น้ำแม่กลองไหลเชี่ยวและมีปริมาณสูง หากน้ำลดลงและมีทัศนวิสัยที่ดีก้จะเริ่งดำเนินการทันที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี