จังหวัดจันทบุรี เป็นหนึ่งในจังหวัดภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งผลิตผลไม้คุณภาพของไทย ทั้งทุเรียน มังคุด ลองกอง เงาะ ล้วนมีแหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่นี่ ซึ่งการจะผลิตผลไม้ให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค เรื่องคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะทุกวันนี้ผู้บริโภคใส่ใจในเรื่องความปลอดภัยของสินค้าด้วยแล้ว การทำเกษตรแบบปลอดภัยต่อสารพิษจึงเป็นสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
นายอรัญ เวชกรรม ชาวสวนผลไม้เมืองจันทบุรี และอีกฐานะหนึ่งคือหมอดินอาสาประจำตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เล่าว่า ย้อนไปเมื่อประมาณปี 2529 ตนทำสวนผลไม้ปลูกเงาะและทุเรียนในพื้นที่ 30 ไร่ โดยใช้สารเคมีทางการเกษตรจำนวนมากปีหนึ่งเสียค่าใช้จ่ายไปกับค่าปุ๋ยค่ายานับแสนบาท แต่ตนก็ยังพึ่งพาการใช้สารเคมีอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งปี 2547 ผลของการใช้สารเคมีมานานเริ่มออกปรากฏชัดคือทั้งดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก แมลงศัตรูพืชเข้าทำลายผลผลิต ประกอบกับปีนั้นประสบกับภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ ทุเรียนกว่า 400 ต้นเสียหายทั้งหมด เรียกว่าหมดตัวและเป็นหนี้ค่าปุ๋ยค่ายาอีกเป็นแสนบาท
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาที่ดินจันทบุรี สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 2 ได้เข้ามาอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์ ตอนแรกก็ยังไม่เชื่อถือเรื่องเกษตรอินทรีย์ เพราะตนใช้แต่สารเคมีมาตลอด ไม่มั่นใจว่าเกษตรอินทรีย์จะทำให้ผลไม้รอดได้ แต่จากเข้ารับการอบรมและนำมาทดลองในสวนผลไม้ของตนเอง เริ่มจากทำน้ำหมักชีวภาพมาใช้กับต้นทุเรียนที่ถูกน้ำท่วมจนเป็นโรคโคนเน่า ผลปรากฏว่าต้นทุเรียนเริ่มฟื้นและหายจากโรค เท่านั้นแหละจึงเกิดความเชื่อมั่น จนกระทั่งขอสมัครเข้าเป็นหมอดินอาสาประจำตำบลมาบไพ เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรรายอื่นต่อไป
ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาพื้นที่ทั้ง 30 ไร่ มีการทำเกษตรแบบผสมผสาน ปลูกทุเรียน มังคุด ลองกอง กล้วยไข่ โดยเลิกใช้สารเคมีทั้งหมดและหันมาใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ชีวภาพ น้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆ ที่ผลิตเองใช้เอง เช่น น้ำหมักเปลือกมังคุด น้ำกลอยหมัก น้ำหมักฮอร์โมนผลไม้รวม ซึ่งตนได้ใช้น้ำหมักชีวภาพเพื่อประโยชน์ทั้งการปรับปรุงสภาพดิน เป็นสารป้องกันกำจัดแมลง เร่งการเจริญเติบโตของไม้ผล อย่างเช่น ลองกองที่ฉีดด้วยน้ำหมักชีวภาพตอนเริ่มดอกบาน ทำให้ลองกองไม่สุกงอมเกินไปแต่มีรสชาติหวานเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค จึงขายได้ราคาดีขึ้น
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างการใช้สารเคมีกับเกษตรอินทรีย์ คือ เรื่องดิน แต่ก่อนที่ใช้เคมีดินจะแข็ง รดน้ำลงไปน้ำจะไม่ซึมลงดินจะเจิ่งนองบนผิวดิน ทำให้ดินขาดความชุ่มชื้น ในทางกลับกันเมื่อมีการปรับสภาพดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ ดินมีการกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตก็ดีตามไปด้วย และบทพิสูจน์ที่สำคัญอีกอย่างคือ ช่วงน้ำท่วมใหญ่ในรอบ 40 ปีของเมืองจันทุบรีเมื่อปี 2556 ระดับน้ำท่วมสูงเมตรกว่าแต่ต้นไม้ในสวนยังยืนอยู่ได้ ไม่เหมือนกับสวนอื่นที่ใช้สารเคมีต้นไม้ยืนต้นตายหมด และที่สำคัญที่สุดเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตแล้วยิ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือตอนที่ใช้สารเคมีมีค่าใช้จ่ายประจำไปกับการซื้อปุ๋ยซื้อยาปีละไม่ต่ำกว่า100,000-200,000 บาท แต่การทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองเราลงทุนเพียงปีละประมาณ 5,000 บาท เมื่อคำนวณกับผลผลิตทั้งหมดในสวนที่จะขายสามารถสร้างรายได้กลับมาเป็นหลักล้านบาท จึงคิดว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว
ด้วยความมุ่งมั่นในการปรับเปลี่ยนระบบเกษตรที่พึ่งพาสารเคมีหันมาสู่วิถีธรรมชาติ ผลิตและใช้สารอินทรีย์ของนายอรัญ ทำให้สถานีพัฒนาที่ดินจันทบุรี ได้คัดเลือกให้สวนของนายอรัญ เป็นหนึ่งในเป้าหมายเข้าสู่โครงการเมืองเกษตรสีเขียว
เรื่องนี้นายอรัญ กล่าวว่า ตอนนี้ตนได้ผ่านการฝึกอบรมโครงการเมืองเกษตรสีเขียว และมีความพร้อม 100% ในการช่วยเผยแพร่การทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยจากสารพิษให้กับเกษตรกรที่สนใจ เนื่องจากตนตระหนักดีว่าการลด ละ เลิกการใช้สารเคมี นอกจากจะทำให้สุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภคปลอดภัยแล้ว ยังช่วยลดมลภาวะ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังช่วยลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างความยั่งยืนในอาชีพของเกษตรกรด้วย ท้ายนี้ อยากจะฝากถึงเพื่อนเกษตรกรที่ยังคลางแคลงใจกับเรื่องเกษตรอินทรีย์ ที่ว่าใช้อินทรีย์ผลไม้จะไม่ดกหรืออะไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่าไม่จริง มันขึ้นอยู่กับการดูแลและใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม อย่างสวนของตนหยุดสารเคมีทันทีและหันมาใช้อินทรีย์ทดแทน ทุกวันนี้ผลผลิตก็เจริญงอกงามดี ไม่มีผลเสียหายแต่อย่างใด
หากเกษตรกรท่านใดสนใจไปพิสูจน์ความสำเร็จการปรับเปลี่ยนสวนผลไม้อินทรีย์เมืองจันทน์ สามารถติดต่อไปได้ที่ นายอรัญ เวชกรรม หมู่ 3 ตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี โทร.08-0093-9174
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี