สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ร่วมกับกรมควบคุมโรค(คร.)และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข(TUC) จัดงานประชุมเชิงปฏิบัติการ “กลไกการบริหารจัดการระบบติดตามผลการดูแลรักษาผู้เชื้อเอชไอวีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาคุณภาพระบบบริการ และการติดตามตัวชี้วัดสัญญาณเตือนเชื้อดื้อยาต้านไวรัส” โดยมีผู้แทนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาล เครือข่ายภาคประชาสังคม รวมถึงผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากสปสช.เขต 1 เชียงใหม่,เขต 2พิษณุโลก และจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรค(สคร.)ที่ 10 เชียงใหม่,ที่ 9 พิษณุโลก จำนวนกว่า 100 คน เข้าร่วมในเวทีประชุม ครอบคลุมพื้นที่ 13 จังหวัดภาคเหนือ
แพทย์หญิงชีวนันท์ เลิศพิริยสุวัฒน์ จากสำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์จำนวนกว่า 250,000 คน โดย 75% เป็นผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สถานการณ์การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ของประเทศไทยในขณะนี้ พบว่ามีอุบัติการณ์หลายอย่างที่สะท้อนถึงปัญหาในการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อฯ และผู้ป่วยเอดส์ ได้แก่ มีผู้ติดเชื้อฯ ที่ยังไม่ได้รับยาต้านไวรัสเข้ามารับบริการในระบบในสัดส่วนที่ต่ำเพียง 35% เท่านั้น มีผู้ติดเชื้อฯ ที่เข้าเกณฑ์ต้องรับยาต้านไวรัสแล้วแต่ยังคงไม่ได้รับยาต้านสูงถึง 43% ผู้ป่วยเอดส์มีอัตราการเสียชีวิตขณะที่ยังมารับบริการสูงขึ้น ผู้ติดเชื้อฯ เข้าถึงระบบบริการรักษาช้าอันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ติดเชื้อฯ เสียชีวิต แนวโน้มของการรักษาล้มเหลวหลังจากเริ่มรับยาต้านไวรัสใน 1 ปีแรกไม่ลดลง การขาดการติดตามรักษาผู้ติดเชื้อฯ มีอัตราเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับยาอย่างสม่ำเสมอและพบว่ามีการเปลี่ยนสูตรยาเนื่องมาจากสาเหตุเชื้อดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี