เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเกษตรกรไทยในการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเร่งทำความเข้าใจและศึกษาสินค้าปศุสัตว์ ในตลาดเพื่อบ้าน เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อม และตระหนักถึงผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าทั้งด้านบวกและด้านลบอย่างถูกต้อง เพื่อก้าวไปสู่การรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558
นายอนันต์ ลิลา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการศึกษาศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กรณีศึกษาสินค้าปศุสัตว์ เช่น สุกร และโคเนื้อ ในราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และเมียนมาร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทย พบว่า สุกร ทั้ง 3 ประเทศ จะเป็นการเลี้ยงแบบพื้นบ้าน เพื่อใช้บริโภคภายในประเทศ การขยายการเลี้ยงยังเพิ่มไม่มากนักเนื่องจากเกษตรกรยังขาดแคลนเงินทุน และยังต้องพึ่งพาต่างประเทศในด้านเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ สำหรับสินค้าโคเนื้อของกัมพูชาและลาว ส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยงแบบพื้นบ้าน เพื่อใช้งานและใช้บริโภคภายในประเทศ แต่ในประเทศเมียนมาร์ เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตโคเนื้อ และมีจำนวนโคเนื้อมากกว่าไทยประมาณ 2 เท่า แต่ถูกจำกัดด้านกฎหมายที่ให้ส่งออกได้ในโคที่อายุ 16 ปีขึ้นไป รวมทั้งการขนส่งที่ไม่สะดวก จึงยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้ออยู่ ซึ่งตรงนี้ไทยถือว่าได้เปรียบ
อนันต์ ลิลา
ส่วนสินค้าปศุสัตว์ของไทยนั้น จำเป็นต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต และควรมีการกำหนดมาตรฐานเดียวกันในกลุ่ม AEC รวมถึงการกำหนดค่าธรรมเนียมต่างๆ เพื่อให้การส่งออกง่ายขึ้น ซึ่งไทยควรให้ความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านเกษตรต่างๆ แก่ทั้ง 3 ประเทศ รวมทั้งด้านการจัดทำมาตรฐานการผลิตตลอดห่วงโซ่การผลิต เพื่อให้เป็นฐานการผลิตร่วมที่มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ตลอดจนการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อสร้างความร่วมมือกันระหว่างเพื่อนบ้านอันเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันต่อไป
สำหรับผลการศึกษาสินค้าประมงในเมียนม่าร์ พบว่า ปัจจุบันเมียนมาร์ถือเป็นแหล่งวัตถุดิบประมงทะเลที่สำคัญของไทย มีทรัพยากรประมงที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมีพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ แต่การเพาะเลี้ยงยังไม่แพร่หลายและพัฒนามากนัก เนื่องจากยังมีทรัพยากรประมงจากธรรมชาติจำนวนมาก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร และขาดบุคลากรรวมทั้งเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยง ซึ่งแหล่งทำประมงทะเลสำคัญอยู่ที่เมืองมะริด โดยในปี 2554 มีผลผลิตภาคประมงรวม 4.5 ล้านตัน ใช้บริโภคภายในประเทศร้อยละ 90 ส่งออกร้อยละ 10 หรือประมาณ 4 แสนตัน ด้านตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ไทย ฮ่องกง ออสเตรเลีย โดยการส่งออกมาไทยผ่านขึ้นท่าที่จังหวัดระนอง และส่งต่อมายังตลาดกลางค้าสัตว์น้ำที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร
จากการวิเคราะห์ศักยภาพการส่งออกสินค้าประมงในตลาดโลกและอาเซียน พบว่า ไทยและเมียนม่าร์ไม่มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบจากการส่งออกสินค้าประมงไปยังตลาดโลกและอาเซียน เนื่องจากการส่งออกในตลาดโลกทั้งสองประเทศตำแหน่งทางการตลาดอยู่ในตำแหน่งสินค้าตกต่ำ และสำหรับตลาดอาเซียน ไทยอยู่ในตำแหน่งสินค้ามีปัญหา ส่วนเมียนม่าร์อยู่ในตำแหน่งสินค้าตกต่ำ โดยเมียนม่าร์ส่งออกในรูปวัตถุดิบจึงมีมูลค่าเพิ่มน้อย ส่วนไทยแม้มีการแปรรูปเพื่อส่งออกมากขึ้นแต่ขาดแคลนวัตถุดิบ
ทั้งนี้ ไทยไม่มีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบจากการส่งออกสินค้าประมง ทั้งในตลาดโลกและตลาดอาเซียน เนื่องจากผลผลิตของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งการรวมเป็นประชาคมอาเซียนเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ไทยนำเข้าสินค้าประมงจากเพื่อนบ้านในราคาที่ถูกลง และเป็นลู่ทางขยายการลงทุนเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเพื่อนบ้านในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี