การจัดทำเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำ เป็นนโยบายหนึ่งของกรมพัฒนาที่ดิน ในการพัฒนาพื้นที่แบบองค์รวม ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เนื่องจากตระหนักดีว่าการพัฒนาที่ดินที่เคยดำเนินการมาในช่วงที่ผ่านมาเป็นลักษณะพัฒนาแบบหว่าน ไม่มีการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน ทำให้ไม่สามารถชี้วัดกลุ่มเป้าหมายหรือผลสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงได้ปรับระบบการพัฒนาโดยจัดเป็นเขตพัฒนาที่ดินยึดกรอบของพื้นที่ลุ่มน้ำ เพราะสามารถกำหนดขอบเขตได้จากสันปันน้ำ สามารถประเมินหรือคำนวณปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในลุ่มน้ำมากน้อยในแต่ละปี รวมถึงมีตำแหน่งพื้นที่สูง ที่ราบ ซึ่งสามารถกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์กับเกษตรกรในพื้นที่โดยตรง
สากล ณ ฤทธิ์
นายสากล ณ ฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี กล่าวว่า สถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 10 ได้จัดทำเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำบ้องตี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอไทรโยค จุดประสงค์ที่คัดเลือกที่นี่ เนื่องจากเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงประชากรในพื้นที่ตอนล่าง อีกทั้งมีลักษณะพื้นที่เป็นที่ลาดชัน มีปัญหาการชะล้างพังทลาย ซึ่งประชากรในพื้นที่เป็นชนกลุ่มน้อยชาวกระเหรี่ยงและมอญ มีการประกอบอาชีพทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวไร่ โดยที่ผ่านมามักประสบปัญหาดินเสื่อมโทรมและขาดน้ำในการทำการเกษตรในช่วงหน้าฝน จึงส่งผลให้มีการรุกล้ำป่าไม้เพื่อหาพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ในการทำไร่อย่างต่อเนื่อง
การนำโครงการเขตพัฒนาที่ดินเข้าไปในพื้นที่ สถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรีได้มีการวิเคราะห์สภาพปัญหาออกมาได้ 3 ประเด็น ได้แก่ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมปัญหาดินเข้าไปด้วย ปัญหาด้านสังคม ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง โอกาสในแต่ละด้าน เพื่อให้ได้ข้อสรุปออกมาโดยเฉพาะด้านสังคมต้องมองว่าประชากรในพื้นที่เป็นชาวกระเหรี่ยงและมอญ ที่มีสังคมวัฒนธรรมไม่เหมือนประชาชนทั่วไป เช่น ชาวกระเหรี่ยงจะทำกินแบบพอไว้บริโภค ส่วนรายได้จะเป็นการรับจ้างและหาของป่า เขารักถิ่นฐานถ้าหากไม่ขาดแคลนอย่างขายผลผลิตไม่ได้ราคา ประสบปัญหาที่ดินทำกินจริงๆ จะไม่อพยพไปหางานแหล่งอื่น
ดังนั้น เมื่อทราบถึงปัญหาต่างๆ จึงได้นำงานพัฒนาที่ดินเข้าไปจับ ด้วยการพัฒนาทรัพยากรดินให้ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ให้เขาสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ราคาผลผลิตดีขึ้น ด้วยการเข้าไปจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ทั้งวิธีกลคือเข้าไปทำคันดิน คันคูรับน้ำรอบขอบเขา วิธีพืชคือใช้หญ้าแฝกปลูกขวางทางลาดเท เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมการทำปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ในพื้นที่เพื่อใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นต้นน้ำลำธารถ้ามีการใช้ปุ๋ยเคมีปริมาณมากๆ จะเป็นอันตรายและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง จัดทำทางลำเลียงผลผลิตออกมายังตลาดได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
ส่วนปัญหาการขาดแคลนน้ำทางองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และชลประทานได้เข้าไปจัดสร้างแหล่งน้ำให้สามารถใช้ทำการเกษตรได้อย่างเพียงพอ และยังได้ร่วมมือกับกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ในการส่งเสริมให้เปลี่ยนจากทำไร่มาปลูกยางพารา ซึ่งไม่เพียงเป็นการปลูกพืชตามความเหมาะสมของดิน ยังช่วยเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้นกว่าการปลูกพืชไร่
นายสากล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อดีของการเข้ามาดำเนินการในพื้นที่ลุ่มน้ำบ้องตี้คือผู้นำท้องถิ่นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้ง อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อีกทั้งชาวบ้านจะมีลักษณะเด่นคือจะเชื่อฟังผู้นำ ถ้าผู้นำให้ความร่วมมือดีเขาก็จะเชื่อและปฏิบัติตามคำแนะนำ ทำให้โครงการประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งสังเกตได้จากแรกเริ่มเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดินเข้าไปสาธิตการทำปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพให้ดูพร้อมกับแจกให้ชาวบ้านเอาไปทดลองใช้เขายังไม่ค่อยสนใจ แต่เมื่อผู้นำเขาเอาไปทำจนเห็นผลดี ทำให้ขณะนี้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรผลิตปุ๋ยไว้ใช้เองแล้ว ประกอบกับเราได้ไปตั้งศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดินในพื้นที่ เพื่อถ่ายทอดข้อมูลนวัตกรรมด้านการพัฒนาที่ดินที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำบ้องตี้ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทำการเกษตร จากไร่เลื่อนลอยมาปลูกสวนยางพารา ซึ่งยางพารากว่าจะมีรายได้ต้องรอ 6-7 ปี จึงได้ส่งเสริมให้ปลูกพืชอื่นระหว่างแถวยางพาราสร้างรายได้เสริม เช่น สับปะรด ข้าวโพด โดยใช้ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ส่วนช่วงหน้าแล้งก็มีการรวมกลุ่มปลูกพืชผักสวนครัว สำหรับช่วงฤดูหนาวก็มีหน่วยงานที่เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกผักเมืองหนาวเพราะสภาพภูมิอากาศใกล้เคียงกับทางภาคเหนือซึ่งเกษตรกรไม่ต้องนำสินค้าลงไปขายเองเลยจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่
“ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเข้าไปจัดทำเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน้ำบ้องตี้ คือ ป่าไม้ต้นน้ำลำธารยังคงสภาพอยู่ได้ เกษตรกรไม่มีการบุกรุกป่าเหมือนอย่างเคย ที่สำคัญการปรับเปลี่ยนจากทำไร่มาทำสวนยางและปลูกพืชเสริมที่ต้องเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลา ทำให้ประชากรไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานเพื่อไปให้งานอื่นทำ ก่อให้เกิดอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข และสามารถรักษาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยได้อย่างยั่งยืน” ผู้อำนวยการสถานีพัฒนาที่ดินกาญจนบุรี กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี