จังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรมากมาย ทั้งผัก ไม้ผล ยางพารา โดยเฉพาะข้าวสังข์หยด ที่นับเป็นพันธุ์ข้าวพันธุ์แรกของไทยที่ได้รับการรับรองให้เป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือข้าวจีไอ (GI) ซึ่งความโดดเด่นเหล่านี้ทำให้จังหวัดพัทลุงได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 6 จังหวัดนำร่องโครงการเมืองเกษตรสีเขียว
นายปรีชา โพธิ์ปาน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า จากนโยบายเมืองเกษตรสีเขียว ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการดำเนินงานในจังหวัดเป้าหมายทั้ง 6 จังหวัด สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 12 สถานีพัฒนาที่ดินพัทลุง ซึ่งรับผิดชอบดูแลกิจกรรมด้านการพัฒนาที่ดินในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ได้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความรู้ความเข้าใจในการปรับปรุงคุณภาพดินจากการใช้สารอินทรีย์ เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร เพื่อให้พื้นที่เกษตรที่เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาไปสู่การผลิตที่ยั่งยืนและปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อม
จังหวัดพัทลุงได้รับคัดเลือกให้เป็นจังหวัดนำร่องเมืองเกษตรสีเขียวในสาขาเกษตรผสมผสาน คือ ข้าว ผัก ผลไม้ ปศุสัตว์ และยางพารา ดังนั้น การพัฒนาที่ดินมุ่งสู่เมืองเกษตรสีเขียวจึงมีความหลากหลายตามไปด้วย เช่น พื้นที่นาข้าว ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อเนื่องยาวนาน ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งปัญหาดินกรด จึงเน้นไปที่การปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยพืชสด คือ ปอเทือง ปลูกและไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน เมื่อปลูกข้าวที่เป็นพืชหลักก็จะช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้เป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็จะมีกิจกรรมรณรงค์งดเผาตอซังฟางข้าว ซึ่งไม่เพียงแต่ไปทำลายธาตุอาหารในดินแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเกิดเป็นก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของภาวะโลกร้อนด้วย ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดิน มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและในครัวเรือนมาแปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ นำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นการช่วยลดการใช้สารเคมีและลดต้นทุนการผลิตได้ในคราวเดียว ที่สำคัญยังได้คุณภาพผลผลิตที่ดีขึ้น นำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร
ขณะนี้ได้ดำเนินโครงการเมืองเกษตรสีเขียว ในพื้นที่หมู่ 7 ตำบลโตนดด้วย อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง โดยมีกิจกรรมการปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยพืชสด จำนวน 3,000 ไร่ ปรับปรุงพื้นที่ดินกรดโดยใช้วัสดุปูนจำนวน 2,000 ไร่ รณรงค์ไถกลบตอซัง 1,000 ไร่ ส่งเสริมการผลิตปุ๋ยหมักสูตรพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จำนวน 150 ตัน ส่งเสริมการผลิตน้ำหมักชีวภาพ เก็บตัวอย่างดินเพื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของดินก่อน-หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ของกรมพัฒนาที่ดิน ตลอดจนฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการปรับปรุงบำรุงดินให้กับเกษตรกรจำนวน2,500 ราย อย่างไรก็ดี คาดว่าพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงบำรุงดินจะสามารถเพิ่มอินทรียวัตถุทำให้ดินมีสภาพสมบูรณ์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมายได้ไม่ต่ำกว่า 25,000 ไร่
ด้าน นายสมบัติ ยังฤทธิ์ เกษตรกรในพื้นที่หมู่ 7 ที่เข้าร่วมโครงการเมืองเกษตรสีเขียว จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า ตนมีพื้นที่อยู่ 6 ไร่ ทำการปลูกข้าวทั้งพันธุ์สังข์หยด เล็บนกและชัยนาท 1 ซึ่งแต่ก่อนจะใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียว โดยใช้ประมาณ 50 กก./ไร่ ต้นทุนไร่หนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ขณะที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่ 450 กก./ไร่ ส่วนเรื่องสารเคมีกำจัดศัตรูข้าวนั้นดีอยู่อย่างที่พื้นที่ภาคใต้ไม่ค่อยมีปัญหาแมลงศัตรูข้าวอย่างเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล จะมีเพียงปัญหาหอยเชอรี่ที่จำเป็นต้องอาศัยสารเคมีในการกำจัด เมื่อคำนวณรายจ่ายในการทำนากับรายได้ในการขายข้าวโดยเฉพาะถ้าเป็นข้าวพันธุ์ชัยนาท 1 ขายได้ที่เกวียนละ 6,000 บาท พันธุ์เล็บนกขายได้ 12,000 บาทนับว่าไม่ค่อยสมดุลบางปีอาจจะถึงขั้นขาดทุนเลยก็มี แต่ถ้าเป็นพันธุ์สังข์หยดจะรายได้ดีหน่อยคือขายได้เกวียนละ 20,000 บาท
หลังจากกรมพัฒนาที่ดินเข้ามาทำโครงการเมืองเกษตรสีเขียว และอบรมถ่ายทอดความรู้เรื่องการปรับปรุงบำรุงดิน ส่งเสริมให้ปลูกปอเทืองแล้วไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ร่วมกับการใช้ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ตนก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้เคมีให้น้อยที่สุด เช่น แต่ก่อนเคยใช้ยาฆ่าหอยเชอรี่ก็เปลี่ยนมาจับไปทำน้ำหมักชีวภาพแทน ซึ่งหลังจากได้ปรับปรุงบำรุงดินตามแนวทางของกรมพัฒนาที่ดิน ผลที่เห็นเด่นชัดคือ ดินดีขึ้นสังเกตจากมีไส้เดือน และมีกุ้ง หอย ปู ปลา อาศัยอยู่ในแปลงนาไม่เหมือนตอนใช้เคมีจะไม่ค่อยมีสัตว์มาอาศัย อีกอยากที่ตามมาคือผลผลิตข้าวเริ่มเพิ่มขึ้นเป็น 500 กก./ไร่ แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมนักแต่เมื่อเทียบกับต้นทุนที่ลดลงจากการลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี คือจะใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยตนได้นำตัวอย่างดินไปวิเคราะห์จะพบว่าดินขาดธาตุอาหารโพแทสเซียม ก็จะใช้ปุ๋ยที่เพิ่มแค่ธาตุโพแทสเซียมอย่างเดียวไม่ต้องใส่ตัวอื่น ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมากและมีรายได้คงเหลือเป็นที่น่าพอใจ
“ผมมองว่าการทำเกษตรสีเขียวลดการพึ่งพาเคมีเป็นทางรอดของเกษตรกรอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่สุขภาพของเกษตรกรที่จะดีขึ้นเพราะไม่ต้องสัมผัสกับสารเคมีเป็นประจำแล้ว ยังเป็นผลดีต่อผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งทุกวันนี้ข้าวที่ผลิตในพื้นที่ตำบลโตนดด้วนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคต่างถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะมีเกษตรกรที่ปลูกข้าวเหมือนกันแต่ยังใช้สารเคมี มาซื้อข้าวจากพวกเราไปกินเพราะเขาไม่กล้ากินข้าวที่ตัวเองปลูกเพราะรู้ว่าไม่ปลอดภัย แต่เขากลับส่งข้าวพวกนี้ไปสู่ตลาดและผู้บริโภคแทนดังนั้น ตนเห็นว่าโครงการเมืองเกษตรสีเขียวเป็นโครงการที่ดีมากและจำเป็นต้องมีการขยายผลสู่พี่น้องเกษตรกรมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมก็จะได้ปลอดภัยด้วย” นายสมบัติ กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี