เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีผลต่อการทำการเกษตรอย่างมาก ประกอบกับการเกษตรในยุคนี้ที่ต้องการให้ได้ผลผลิตมากที่สุด จึงมีการปลูกพืชอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการพักแปลงทำให้เกิดการเสื่อมโทรมของดิน อีกทั้งยังนิยมใช้วิธีการเผาตอซังเพื่อความรวดเร็วในการเตรียมดิน สำหรับเพาะปลูกข้าวในรอบต่อไป ส่งผลให้เกิดสภาวะโลกร้อนตามมา
ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดินในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาดิน จึงริเริ่มโครงการลดภาวะโลกร้อนจากภาคเกษตร มุ่งอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยโครงการจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำที่ผ่านมาได้มีการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็ว ในจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดความแห้งแล้งและเสื่อมโทรมซ้ำซาก โดยการเข้าไปสำรวจสภาพพื้นที่เพื่อจัดทำระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ ควบคู่กับส่งเสริมการปลูกไม้ยืนต้นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของเกษตรกร
ส่วนการรณรงค์ไถกลบตอซังเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน ได้มีการคัดเลือกพื้นที่ทำจุดสาธิตเรียนรู้การไถกลบตอซังในพื้นที่ปลูกข้าว อ้อย และข้าวโพด โดยทำเป็นแปลงสาธิตวิธีการไถกลบตอซังที่ถูกต้อง จนเกษตรกรที่เข้าอบรมสามารถนำไปใช้ในพื้นที่ของตนเองได้ ซึ่งการไถกลบตอซังดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนและช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินแล้วยังช่วยลดค่าปุ๋ยเคมีได้อย่างน้อย 800-900 บาทต่อไร่
ขณะเดียวกันการลดการเผาในพื้นที่โล่งเตียนเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน เน้นการดำเนินงานใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา ลำปาง ลำพูน และแพร่ โดยมีเป้าหมาย 2,500 ไร่ เนื่องจากฟื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรมบนที่ราบสูง มีการปลูกพืชไร่ ทำให้มีการแผ้วถางและเผาอยู่เป็นประจำ จึงจะดำเนินการจัดระบบโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น การทำขั้นบันไดดิน ขุดคูรับน้ำรอบของเขา จัดหากล้าไม้ยืนต้น เช่น แมคคาเดเมีย ลิ้นจี่ ลำไย ชา เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้ด้วย
นายสมโสถติ์ ดำเนินงาม ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ปัญหาโลกร้อนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ในส่วนของกรมพัฒนาที่ดินได้ให้ความสำคัญเรื่องดิน และสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับทุกองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างงานด้านพัฒนาที่ดินให้กลับคืนมา เนื่องจากดินเป็นทรัพยากรที่เกิดปัญหาแล้วไม่เห็นผลทันที และการปรับปรุงบำรุงดินไม่ได้ทำให้ปัญหาดินนั้นแก้ได้และเห็นผลได้ทันทีเช่นกัน ทำให้คนทั่วไปไม่ให้ความสำคัญมองว่าไม่เป็นปัญหาใหญ่ และไม่ดูแลรักษา จึงเกิดความเสื่อมโทรม ดังนั้น จึงพัฒนาสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ แล้วจึงถ่ายทอดไปยังเกษตรกร
นอกจากนี้ยังต้องมุ่งเน้นการปรับปรุงบำรุงดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ดินที่เหมาะสมกับการปลูกพืชต้องมีองค์ประกอบ 4 อย่างคือ เนื้อดิน 45% น้ำ 25% อากาศ 25% และอินทรียวัตถุ 5% แต่ปัจจุบันดินส่วนใหญ่ในประเทศมีอินทรียวัตถุไม่ถึง 1% ดังนั้น การจะเอาอินทรียวัตถุลงดินให้มากขึ้นจะทำอย่างไร เช่น ควรศึกษาวิจัยการปลูกหญ้าแฝก นอกจากช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำแล้วช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุ
“ตั้งเป้าหมายให้มีการต่อยอดโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรให้งดการเผา โดยการไถกลบตอซังพร้อมกับการหว่านพืชปุ๋ยสดแล้วไถกลบ พืชปุ๋ยสดจะย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในดิน ช่วยให้เกษตรกรลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มคุณภาพดินให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน จะนำไปสู่การเพิ่มผลผลิต สภาวะแวดล้อมดีขึ้นและช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกทาง” นายสมโสถติ์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี