“กรมการข้าว” เดินหน้าสนับสนุนการปลูกข้าวญี่ปุ่นและข้าวเหนียวเขี้ยวงูในพื้นที่ภาคเหนือ ย้ำข้าวทั้ง 2 สายพันธุ์มีความต้องการของตลาดค่อนข้างสูง และแนวโน้มการตลาดในอนาคตยังสดใส นำร่องจัดจั้งศูนย์ข้าวชุมชนข้าวญี่ปุ่นเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวญี่ปุ่นและจำหน่ายให้ได้ 800 ตันต่อปี พร้อมดึงภาคเอกชนกว่า 10 รายมาร่วมทำเกษตรพันธะสัญญา ตั้งเป้า 80,000 ไร่ต่อปี มั่นใจสามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นายชาญพิทยา ฉิมพาลี อธิบดีกรมการข้าว เปิดเผยว่า ข้าวญี่ปุ่น ที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ มีความต้องการของตลาดค่อนข้างสูง เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้นและร้านค้า ร้านอาหารส่วนใหญ่ไม่ต้องการ การนำเข้าญี่ปุ่นเข้ามา เนื่องจากไม่สามารถควบคุมคุณภาพและการผลิตได้ ซึ่งกรมการข้าวได้ส่งเสริมให้เกษตรกรทางภาคเหนือปลูกข้าวญี่ปุ่น ทั้งนี้ช่วงแรกที่กรมการข้าวได้ทำการทดลองปลูก พบว่าข้าวญี่ปุ่นสายพันธุ์ไทย คือ กว.ก1 และ กว.ก2 เป็นข้าวที่มีคุณภาพที่ดี เทียบเท่ากับข้าวของประเทศญี่ปุ่นสายพันธุ์ โคชิฮิคาริ Koshihikari ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ราคาของข้าวญี่ปุ่นในปัจจุบัน อยู่ที่ กิโลกรัมละ 14-15 บาท อีกทั้งมีความต้องการของตลาดที่แน่นอนและมีแนวโน้นเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อให้เป็นการดูแลและส่งเสริมการเพาะปลูกเกษตรกรได้อย่างทั่วถึง กรมการข้าวจึงมอบหมายให้ ศูนย์ข้าวเชียงราย จัดจั้งศูนย์ข้าวชุมชนข้าวญี่ปุ่นเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวญี่ปุ่น และผลิตเพื่อจำหน่ายให้ได้ 800 ตันต่อปี นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนกว่า 10 รายที่ส่งเสริมการปลูกข้าวญี่ปุ่นในรูปแบบเกษตรพันธะสัญญา ประมาณ 80,000 ไร่ต่อปี ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และ ลำพูน พร้อมจัดตั้ง “ชมรมผู้ผลิตข้าวญี่ปุ่นแห่งประเทศไทยขึ้น” ซึ่งสามารถผลิตข้าวญี่ปุ่นได้ปีละ 60,000 ตัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ กรมการข้าวมีแผนการวิจัยและปรับปรุงข้าวญี่ปุ่นให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในเขตภาคเหนือของไทย ให้สามารถต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช และผลักดันให้เกษตรกรผลิตข้าวตามระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP และระบบเกษตรอินทรีย์
นายชาญพิทยา กล่าวเสริมว่า ในส่วนของข้าวเหนียวเขี้ยวงู กรมการข้าวได้นำเอาสายพันธุ์ดั่งเดิมกลับมาพัฒนาขึ้นใหม่จนได้
สายพันธุ์ G.S.No.8974 ซึ่งเป็นข้าวเหนียวที่มีความเหมาะสมที่สุด และมีผลผลิตเฉลี่ย 370-490 กิโลกรัมต่อไร่ มีขนาดเมล็ดเล็ก เรียวยาว เมื่อนึ่งสุกแล้ว ข้าวจะมีความขาว นุ่ม เหนียวติดกันแต่ไม่เละ มีความเลื่อมมันค่อนข้างมากและมีกลิ่นหอม อีกทั้งข้าวเหนียวเขี้ยวงูมีคุณสมบัติในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ในรูปแบบของวิตามีนอี E ที่เด่นเป็นพิเศษ ช่วยลดคอเลสเตอรอล สูงถึง 5.32 มิลลิกรัมต่อรำ 100 กรัม พร้อมทั้งมีใยอาหาร 3.74 กรัม ไขมัน 2.68 กรัม โปรตีน 7.52 กรัม ให้พลังงาน 258.56 กิโลแคลอรี และคาร์โบไฮเดรต 76.09 กรัม
ทั้งนี้กรมการข้าว ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาการผลิตและการตลาดข้าวเหนี่ยวเขี้ยวงูร่วมกับ องค์การตลาดเพื่อการเกษตร หรือ อ.ต.ก. ในการช่วยเหลือเกษตรกรให้เป็นสินค้าเกษตรพื้นเมืองที่มีคุณภาพและปลอดภัย พัฒนาแนวคิดทางการตลาดเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน ซึ่งปัจจุบัน ข้าวเหนียวเขี้ยวงูมักจะถูกนำไปแปรรูปเป็นของหวานหรือข้าวเหนียวมูนเป็นหลัก เนื่องด้วยคุณสมบัติเด่นของเมล็ด คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้กว่าปีละ 6,700 ล้านบาท นอกจากนี้ ทาง
กรมการข้าวมีแนวคิดที่จะนำข้าวเหนียวเขี้ยวงูขึ้นทะเบียนเป็น ข้าว GI ในอนาคตอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี