เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผบช.ศชต.)มีคำสั่งย้ายด่วน พ.ต.อ.วสันต์ พวงน้อย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเบตง จ.ยะลา และ พ.ต.ท.โสภณ สายสุรีย์ รองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเบตง จ.ยะลา หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์บริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ ในพื้นที่ อ.เบตง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คนและได้รับบาดเจ็บ 52 คน โดยให้ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเวลา1ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่3 ส.ค.เป็นต้นไปและให้ พ.ต.อ.ไพโรจน์ หมื่นกล้าหาญ ผกก. สภ.กรงปินัง จ.ยะลา ไปรับตำแหน่งแทนเป็นเวลา 1 ปี
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ยงยุทธ เจริญวานิช ผบช.ศชต.ยังได้ออกประกาศผ่านวิทยุในราชการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเรื่องดังกล่าวด้วย
เพิ่มมาตราการป้องกัน”เบตง”
ขณะที่นายนิพนธ์ อินทรกุล นายอำเภอเบตงได้เรียกประชุมจัดทำแผนรักษาความปลอดภัยในเขตเทศบาลเมืองเบตงเพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ วัตถุพยาน จากกล้องวงจรปิด รวมทั้งพยานบุคคลและพยานแวดล้อมเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิด รวมทั้งสั่งเพิ่มมาตราการระวังป้องกันโรงแรม ตลาด สวนสาธารณะ หรือที่เป็นศูนย์รวมแหล่งพบปะของประชาชนในพื้นที่
บุกรวบ6ผู้ต้องสงสัยเตรียมก่อเหตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่47 ฉก..ทพ.47 ,(ชป.พรานไพร) เข้าติดตามตรวจค้น บ้านผู้ต้องสงสัยว่าจะมีคนเข้ามารวมตัวเพื่อเตรียมการก่อเหตุในพื้นที่อ.ยะหา จ.ยะลา พบผู้ต้องสงสัยกระโดดหลบหนีแต่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ทั้งหมด 6 คนคือ1.นายซอยปูดิน สะมะแอ อายุ29 ปี 2.นายอับดุลเลาะ แซแม อายุ 32 ปี 3.นายซอบรี แซแม อายุ 30 ปี 4.นายมะซอรี บาซอ อายุ 28 ปี 5.นายมะกอเซ็ง แดวอสนุง อายุ 24 ปี 6.นายซูการ์โน สุแนแดวอ อายุ31 ปี โดยทั้ง 6คนไม่พกพาบัตรประชาชน
ยึดอาวุธปืนอาก้า-ยาบ้าเพียบ
พร้อมทั้งได้ยึดของกลางเป็นอาวุธปืนยาวAK 102 หมายเลขปืน101160050 พร้อมซองกระสุน บรรจุ11นัด ตรวจสอบพบเป็นของ อส.อ.อูดีลัน ดิง อส.อำเภอยะหา ยาบ้าจำนวน926เม็ด พร้อมเงินสด8,100บาท โทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง จึงได้ควบคุมตัวทั้ง6คนพร้อมของกลางมาทำบันทึกประวัติและนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ยะหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คปต.ตั้งสำนักงานฯคุมไฟใต้
ที่ทำเนียบรัฐบาล พ.อ.บรรพต พูลเพียรโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(คปต.)ครั้งที่ 3 /2557 ว่า ในที่ประชุมได้หารือถึง 4 กลุ่มงาน โดยคปต.ได้มีการจัดตั้งสำนักเลขานุการที่ ชั้น 7 ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานแล้ว
วางมาตรการถอดหมวกกันน็อค
นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยเรื่องจัดทำเซฟตี้โซน ซึ่งต้องได้รับความยินยอมโดยมีการหารือกันทุกภาคส่วนที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีการจัดตั้งเซฟตี้โซนแบบเคร่งครัดก็จะทำให้ประกอบธุรกิจลำบาก ทั้งนี้ทางกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจ้งว่าทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ขอความร่วมมือ กำหนดมาตรการ เช่นการงดเว้นการสวมหมวกกันน็อคในเขตเศรษฐกิจ รวมถึงจะมีการแสดงแนะการจัดระบบทะเบียนบุคคลและยานพาหนะให้เชื่อมโยงเกี่ยวทั้งระบบ
ชงลดขั้นตอนคดีความมั่นคง
พ.อ.บรรพต กล่าวว่า ที่ประชุมยังมีการพูดคุยถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนากระบวนการยุติธรรม คือการลดขั้นตอนการพิจารณาของศาลในคดีความมั่นคง ทั้งการลดขั้นตอน ลดระยะเวลา และการบูรณาการงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ร่วมกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมและ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทั้งมีความเชี่ยวชาญและทำงานอยู่ในพื้นที่
ใช้ระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์
ทั้งนี้มีการเสนอแนวคิดเรื่องการคุ้มครองพยาน โดยใช้วิธีการเทเลคอนเฟอเรนซ์มาช่วยในการสืบพยาน เพราะแต่เดิมมีปัญหากรณีที่พยานกลับคำให้การตอนขึ้นศาล รวมถึงการวางยุทธศาสตร์ยุติธรรมชุมชนโดยจะมีเจ้าหน้าที่เข้าไปอธิบายในชุมชน ทำคู่มือแจกให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เข้าใจการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและการเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ
เสนอทางอออกโดนสันตีวิธี
พ.อ.บรรพต กล่าวว่า ทั้งนี้ สมช.ได้ชี้แจงเรื่องแสวงหาทางออกของความขัดแย้งโดยสันติวิธี ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำแผน โดยจะมีการตั้งคณะทำงาน 4 คณะ ส่วนหลักการและแนวคิดจะเป็นไปตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 98 โดยพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ได้เน้นเรื่องการยอมรับ การมีส่วนร่วมทั้งระหว่างเจ้าหน้าที่ ภาคประชาสังคม และผู้ที่มีส่วนได้เสีย
เดินหน้าพูดคุยสันติภาพต่อ
ทั้งนี้ขั้นตอนการแก้ไขความขัดแย้งตามที่หัวหน้า คสช.ได้กำหนด คือพัฒนาสัมพันธ์ สร้างความไว้เนื้อเชื้อใจของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าดำเนินการ โดยเป็นการสานต่อการหารือจากที่ทำมาแล้วเมื่อช่วงเดือนก.พ. 56 ส่วนแนวทางการพูดคุยนั้น ทางสมช.จะเป็นผู้วางกรอบเอง แต่ยังไม่ได้พูดในรายละเอียดของกลุ่มที่จะไปคุย
ปัดข่าว”สะแปอิง”ตั้งฐานที่มาเลย์
ถามว่า กรณีกระแสข่าวนายสะแปอิง บาซอ แกนนำคนสำคัญกลุ่มบีอาร์เอ็น ไปตั้งฐานที่ประเทศมาเลเซีย โฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า ข่าวทำนองเดียวกันนี้ ยังไม่รายละเอียดเรื่องสถานที่ รายละเอียดเรื่องเวลา ส่วนที่อ้างว่าข่าวมาจากหน่วยงานความมั่นคง ก็คงไม่ปล่อยข่าวอย่างนี้มา
คสช.โวสถานการณ์ดีขึ้น
ที่กองบัญชาการกองทัพบกพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการคสช. และในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(คปต.)กล่าวว่า ในช่วงรอมฎอน เทียบกับปีที่แล้วถือว่าสถานการณ์ลดลงมาก มีเหตุการณ์ถึง107ครั้ง แต่ปีนี้มีเหตุการณ์30กว่าครั้ง ลดลงไปกว่า60% แม้ผู้เสียชีวิตมากขึ้น9รายและผู้บาดเจ็บลดลงกว่าปีที่แล้ว50% จึงต้องเร่งทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นให้ได้
บิ๊กตู่ย้ำยึดตามกระราชดำรัส
ค่ำวันเดียวกันพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ได้กล่าวในรายการ”คืนความสุขให้คนในชาติ”ช่วงหนึ่งถึงการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ยืนยันจะใช้ยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา”และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เร่งรัดลงไปพัฒนาลงในพื้นที่เข้าไปให้คนเข้าใจ ให้คนออกมา มาร่วมมือกันในการที่จะพัฒนา
ไฟเขียวเปิดโต๊ะพูดคุยสันติภาพ
ส่วนของการพูดคุยสันติภาพ ได้มีการพูดคุยไปตามลำดับทั้งทางความลับ ทางเปิดเผย พอเปิดเผยมากเข้าไม่ได้ เราจำเป็นจะต้องเตรียมการสร้างความพร้อมให้มากขึ้นกว่าเดิม คือต้องสรรหาว่าใครที่จะมาพูดคุยกับเราคือต้องเป็นผู้นำขบวนการที่แท้จริง ถ้าไม่แท้จริง คือจะต้องไปรวมทุกกลุ่มมาให้ได้ ซึ่ง คสช.กำลังหาลู่ทางทุกอย่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี