ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบนโยบาย,สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแสดงท่าทีต่อสังคม ในเรื่องทิศทางการแก้ไขปัญหาการเกษตรของไทยที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของ”โซนนิ่ง”
โดยในการประชุม คสช.วันอังคารที่ 5 ส.ค.เพื่อขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน พล.อ.ประยุทธ์ได้มอบนโยบาย สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กระทรวงพาณิชย์,คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ร่วมกันจัดทำแนวทางแก้ปัญหาผลผลิตการเกษตรทุกชนิด โดยเฉพาะปัญหาราคาตกต่ำในแต่ละฤดูกาล กำหนดว่า ต้องให้เห็นผลสำเร็จภายใน 1 ปี เพราะการแก้ปัญหาที่ผ่านมา มักแก้ไขแค่เฉพาะหน้า ไม่ได้สร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรแท้จริง
โดยให้แนวทางแก้ไขปัญหาสำคัญซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณา ได้แก่ แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสมหรือก็คือการ”โซนนิ่ง” ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเร่งสำรวจพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อนนำมาบูรณาการแผนงานร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อจัดทำ”โซนนิ่ง”ทางการเกษตรให้ชัดเจน จากนั้นจึงประกาศให้เกษตรกรรับทราบข้อมูลล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเตรียมตัวและปรับพฤติกรรมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ ทั้งในเขตชลประทาน และนอกเขตชลประทาน
ขณะที่เย็นวันศุกร์ที่ 8 ส.ค.พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ"มีเนื้อหาช่วงสำคัญพูดถึงการเกษตร เปิดประเด็นด้วยปัญหาผลผลิตลองกองปีนี้ ที่จะล้นตลาดแน่นอน แล้วย้ำว่า คสช.ได้หารือเรื่องผลผลิตการเกษตรทุกชนิด ไม่ว่าข้าว,ลองกอง,มังคุด,อ้อย,มันสำปะหลัง,ยางพารา, ปาล์ม ฯลฯ ไม่ใช่จะพูดถึงแต่เรื่องข้าวอย่างเดียว และพูดเป็นทำนองว่า แนวทางเดิมที่แก้ไขกันมาเฉพาะหน้า พอเดือดร้อนที ก็ Subsidize ลงไป นำเงินไปช่วยนั้น ไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ถ้ายังทำเช่นเดิม 10 ปีข้างหน้าก็ยังเป็นแบบนี้
"วันนี้ต้องทำให้เป็นระบบขึ้น ทุกอย่างต้องดูทั้งเรื่องการขนส่ง การจัดหาตลาด ควบคุมพ่อค้าคนกลาง รวมทั้งแปรรูปให้มีมูลค่าสูงขึ้น ส่งออกต่างประเทศได้ง่ายขึ้น มีคุณภาพ ไม่มีเชื้อโรค ไม่มีปลอมปน”พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่ง
มาถึงตอนสำคัญเรื่องการ”โซนนิ่ง” พล.อ.ประยุทธ์ยกปัญหายางพาราคาขึ้นมาชี้ให้เห็นว่า เวลานี้หลายประเทศแห่ปลูกยางกันมากขึ้น ทำให้ราคาลดต่ำลง ฉะนั้นอยากให้ชาวสวนยางเข้าใจ และดูว่าจะทำอย่างไรให้ลดต้นทุนลงได้ เพื่อให้มีกำไรบ้างพอสมควร แต่ไม่ใช่จะเอากำไรมากเกินไป ซึ่งต้องมีการสำรวจข้อมูลต้นทุนที่ชัดเจน ไม่โกหกกัน เพื่อให้วางแผนได้ วางโรดแมปแก้อย่างไร พื้นที่ตรงไหนควรปลูกเพิ่มหรือไม่ ไม่ใช่เห็นว่า รายได้ดี แห่รุมปลูก แต่จะต้องให้อุปสงค์กับอุปทานสอดคล้องกัน
“ฉะนั้นจะต้องมีการทำโซนนิ่งอย่างแน่นอน ต้องมีการโซนนิ่งตั้งแต่วันนี้ แต่จะบังคับใช้เมื่อใด ก็ไปว่ากันอีกที...ขอสร้างความเข้าใจก่อนว่า ถ้าท่านบอกอยากปลูกอันนี้ และท่านเรียกร้องว่าราคาต้องสูงแบบนี้ ไม่มีใครทำได้ในโลกนี้ ฉะนั้นค่อยๆคุยกัน ตรงไหนจะโซนนิ่งปลูกอะไร ตามความต้องการเท่าใด ตรงไหนต้องแปลงไปเป็นอะไร มีตั้งหลายอย่าง ปลูกพืชทดแทน ปลูกพืชหมุนเวียนหรือไปทำอุตสาหกรรมอย่างอื่น”พล.อ.ประยุทธกล่าว
อันที่จริงเรื่องโซนนิ่งเกษตร ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีการคิดและทำบ้าง ไม่ทำบ้างมากว่า 30 ปีแล้ว แม้กระทั่งล่าสุดช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯก็เพิ่งประกาศโซนนิ่งเขตปลูกพืชเศรษฐกิจ 13 ชนิด อาทิ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย ยาง ปาล์มน้ำมัน ลำไย สับปะรด เป็นต้น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย
ว่าไปแล้ว เรื่องโซนนิ่ง มักถูกมองอยู่เสมอว่า เป็นยาสารพัดนึกที่จะแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ำได้ดี แต่ในความเป็นจริง หาใช่เป็นเรื่องง่ายดายเช่นนั้นไม่ และโซนนิ่งก็ทำได้ยากเย็น ร่วมทั้งมีปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย จนไม่เคยทำได้ประสบความสำเร็จมาก่อน
จริงอยู่ช่วงคสช. อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด อาจจะช่วยจัดการอุปสรรคต่างๆของการทำโซนนิ่งที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งทำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นข้อดี แต่เมื่อคสช.ตั้งเป้าอยู่แค่ปีเดียว ปัญหาจึงอยู่ว่า ถ้าต้องทำโซนนิ่งอย่างเห็นผล ต้องทำอย่างจริงจัง รอบคอบ เวลาเท่านี้เพียงพอผลักดันให้สำเร็จหรือ ทั้งจะทำไงถึงจะให้รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งหลังปฏิรูปการเมืองเสร็จแล้ว สานต่อนโยบายนี้อย่างต่อเนื่องได้
สาโรช บุญแสง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี