ตร.เรียกสอบ‘11แม่ทารก’
ฟันหมออุ้มบุญ
ขู่ถูกออกหมายจับแน่
ถ้า6กันยาฯไม่มอบตัว
ระบุยังอยู่ในประเทศ
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( ผช.ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีอุ้มบุญว่า หลังจากพนักงานสอบสวนสน.ลุมพินีได้ออกหมายเรียกนพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล เจ้าของคลินิกออลไอวีเอฟมาให้ปากคำ ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ทราบว่าทางนพ.พิสิฐ ได้ขอเลื่อนให้ปากคำไปเป็นวันที่ 6 กันยายนที่จะถึงนี้
อย่างไรก็ตามการทำคดีนี้เราจะให้เกิดผลกระทบกับเด็กและแม่ที่รับอุ้มบุญน้อยที่สุด ถึงตอนนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีกับแม่ที่รับอุ้มบุญแต่อย่างใด ส่วนที่มีข้อสงสัยว่าแม่อุ้มบุญจะเข้าข่ายแจ้งความเท็จให้การหรือไม่ในการมีส่วนนำเด็กออกนอกประเทศ ถึงตอนนี้ยังไม่พบเข้าข่ายแจ้งความเท็จแสดงเอกสารอันเป็นเท็จแต่อย่างใด
ที่สน.ลาดพร้าว พ.ต.อ.เดชา พรมสุวรรณ์ พงส.ผทค.สน.ลุมพินี เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ภาคภูม พูลศิริโภคา พงส.ผทค.สน.ลาดพร้าว เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหญิงรับจ้างอุ้มบุญทั้ง 11 ราย ที่มีนายชิเกตะ มิตซึโตกิ อายุ 24 ปี พ่ออุ้มบุญชาวญี่ปุ่น เป็นเจ้าของน้ำเชื้อ ซึ่งตรวจพบที่คอนโดภายในซอยลาดพร้าว 30 เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
ทั้งนี้พ.ต.อ.เดชา ยืนยันว่า จากการสอบปากคำหญิงรับอุ้มบุญทั้ง 11 ราย นั้นให้การว่า ได้ทำอุ้มบุญที่คลินิกออล ไอวีเอฟ จริงโดยจะนำข้อมูลจากการสอบปากคำดังกล่าวไปประกอบสำนวนเพื่อเอาผิดกับนพ.พิสิฐ เจ้าของคลินิกดังกล่าว เเละจะเชิญตัวเเม่รับอุ้มบุญทั้ง 11 รายเข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมในฐานะพยานที่สน.ลุมพินี
ทั้งนี้ยอมรับว่าได้รับการประสานกับทนายของนพ.พิสิฐว่า จะเลื่อนการเดินทางเข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนเป็นวันที่ 6 กันยายน เวลา 20.00 น. ซึ่งหากตามวันเเละเวลาดังกล่าวที่ทนายความหรือนพ.พิสิฐ ไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามที่ได้ประสานไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตัว นพ.พิสิฐ ยังอยู่ในประเทศไทยหรือไม่ พ.ต.อ.ไชยา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่ายังอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่พร้อมที่จะเดินทางมาให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่
ส่วนนายสุภัทร อยู่ถนอม อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวถึงกรณี การผลักดันร่างพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ เข้าสู่การพิจารณาของสนช. ว่าการออกกฎหมายฉบับนี้ ไม่ควรคำนึงเพียงข้อกฎหมาย หรือเทคนิคทางการแพทย์เท่านั้น แต่อยากให้คำนึงถึงธรรมชาติความเป็นแม่ลูกกันระหว่างหญิงที่ตั้งครรภ์กับเด็กซึ่งมีความผูกพันทางสายโลหิตที่อุ้มท้องนานถึง 9 เดือน ซึ่งต้องมีพัฒนาการด้านจิตใจของแม่-ลูกด้วย
“หญิงที่ตั้งครรภ์ก็มีความลำบาก และมีความรักเป็นพัฒนาการที่ไม่มีเงื่อนไข มารดาที่ตั้งครรภ์มักจะเฝ้าถนอมเลี้ยงดูลูก ไม่ละเลยทอดทิ้ง แม้ว่าลูกจะพิการหรือไม่ เด็กที่เกิดมาเพราะความผูกพันเช่นนี้มักรู้สึกว่า ตนมีค่า เมื่อเติบโตขึ้นก็จะรักสังคม แต่ทารกที่เกิดมาจากแม่ที่ไม่อยากได้ลูกก็ไม่สามารถให้ความผูกพันเช่นนี้ได้ และเด็กที่เกิดจากการอุ้มบุญก็จะขาดการพัฒนาทางด้านอารมณ์ ขาดความอบอุ่นและความรัก หากออกพ.ร.บ.อุ้มบุญโดยไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ จะทำให้แม่ที่อุ้มบุญ ขาดความผูกพันต่อลูกในท้อง ไม่เลี้ยงดู มันคงถึงกาลอวสานของมนุษยชาติ”นายสุภัทรกล่าว
สำหรับ กรณีอุ้มบุญที่ศาลเยาวชนฯนั้น ตรวจพบว่า มีการยื่นคำร้องเข้ามาครั้งแรกเมื่อปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ที่เป็นชาวต่างประเทศมีเพียง 5 เรื่องตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ส่วนชายญี่ปุ่นวัย 24ปีที่อ้างว่าเป็นพ่อเด็ก และมีข่าวว่า มีดีเอ็นเอ. ตรงกับเด็กถึง 9 คน ก็ยังไม่มีการยื่นคำร้องเข้ามาขอจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรแต่อย่างใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี