กักสาวไทยตรวจอีโบลา
กลับจากไลบีเรียผ่านเคนยา
ตามเฝ้าระวังญาติอีก13ราย
สธ.โต้ไม่ติด-เจ้าตัวกังวลเอง
ทอท.ยันเข้มมาตรการสกัด
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดไปทั่วสถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ว่า มีการรับตัวผู้กลับจากประเทศที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลามากักตัวไว้สอบสวนโรค หลังพบมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย
โดยผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า กระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ของสถาบันบำราศนราดูรเคลียร์พื้นที่ลานจอดรถด้านหน้าตึก 1 และมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งทยอยเดินทางออกจากโรงพยาบาล เมื่อสอบถามผู้ป่วยรายหนึ่งทราบว่า แพทย์สั่งให้รีบเดินทางกลับบ้าน เพราะรถโรงพยาบาลกำลังไปรับผู้เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงระบาดไวรัสอีโบลา และอยู่ระหว่างสอบสวนโรคว่าติดเชื้อหรือไม่ จากนั้นรถของกรมควบคุมโรค (คร.) ขับนำรถพยาบาลของสถาบันบำราศนราดูร เข้ามาในโรงพยาบาล พร้อมเจ้าหน้าที่ 2 คน ที่สวมชุดอนามัยสีฟ้าลักษณะคล้ายทำจากวัสดุชนิดหนึ่งกันน้ำ สวมหน้ากาก หมวก คลุมร่างกายมิดชิด เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าไปทางห้องกักกันโรค เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าผู้ป่วยเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 48 ปี
ปลัดแถลงด่วนยันไม่ติดเชื้อ
ต่อมาเวลา 18.00 น. นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดแถลงข่าวด่วนถึงกรณีที่สถาบันบำราศนราดูร รับตัวผู้ป่วยที่เพิ่งกลับจากประเทศที่มีการระบาดของเชื้ออีโบลาเข้ากักกันว่า วันนี้ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคของกระทรวงสาธารณสุข กำลังสอบสวนผู้เดินทางชาวไทย ที่กลับมาจากประเทศที่มีการระบาดของเชื้ออีโบลา เป็นหญิง อายุประมาณ 48 ปี ทำงานอยู่ที่ประเทศไลบีเรีย และเดินทางกลับเข้าประเทศไทย โดยเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศเคนยา ในวันที่ 18 สิงหาคม โดยเดินทางมาถึงที่อากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่ออังคารที่ 20 สิงหาคม ซึ่งได้รายงานตัวและได้รับการตรวจคัดกรองตามระบบ ที่ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ ผลการตรวจวัดอุณหภูมิ ไม่มีไข้ ได้รับคำแนะนำการปฏิบัติตัว และพร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกรณีที่มีอาการผิดปกติ
ชี้เจ้าตัวกังวล-แค่สอบสวนโรค
นพ.ณรงค์กล่าวต่อว่า ต่อมาหญิงไทยวัย 48 ปีคนดังกล่าวมีผื่นขึ้นและปวดศีรษะ จึงไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชน แพทย์วินิจฉัยเป็นลมพิษ แต่ยังรู้สึกกังวลกับอาการของตัวเอง จึงได้ติดต่อกระทรวงสาธารณสุข ผ่านทางสายด่วน 1422 ของกรมควบคุมโรค และกรมควบคุมโรคจึงรับตัวมาเข้ารับการดูแลที่สถาบันบำราศนราดูร ซึ่งทีมการแพทย์จะได้วินิจฉัยและให้การดูแลตามแนวทางมาตรฐาน เมื่อมีความคืบหน้าก็จะแจ้งให้ทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ผู้ป่วยรายนี้เป็นเพียงผู้ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ที่ติดเชื้ออีโบลา ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนำตัวไปดูอาการที่สถาบันบำราศนราดูร
ตั้งทีมวินิจฉัยโรครับมืออีโบลา
นพ.ณรงค์ระบุด้วยว่า หากเข้าข่ายเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลา ต้องมีไข้สูงถึง 38 องศาเซลเซียส แต่ผู้ป่วยรายนี้ยังไม่มีอาการนั้น เพียงแต่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงเท่านั้น พร้อมกันนี้ยังขอให้ประชาชนติดตามข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข ไม่ควรเชื่อข้อมูลที่เผยแพร่ทางสื่อโซเซียลมีเดีย โดยยังไม่ได้ตรวจสอบ เพราะอาจคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และทำให้ตื่นตระหนกในวงกว้าง โดยกระทรวงสาธารณสุขจะแถลงข่าวเรื่องนี้ทุกวัน
สำหรับการรับมือกับไวรัสอีโบลานั้น ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเผยว่า ได้ตั้งคณะทำงานวินิจฉัยยืนยัน 1 ชุด ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาและด้านการแพทย์ โดยมีศาสตราจารย์ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ เป็นประธาน ซึ่งจะให้คำแนะนำในการวินิจฉัยรักษาผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยทุกราย โดยจะพิจารณาข้อมูลทั้งด้านผลการตรวจทางคลินิก ผลการสอบสวนด้านระบาดวิทยาและผลการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจเบื้องต้นโจ๋พม่าเป็นมาลาเรีย
ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า ในการวินิจฉัยผู้ป่วยสงสัยโรคอีโบลา จะใช้เกณฑ์ที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐาน ซึ่งรวมถึงการมีไข้ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป และมีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค ซึ่งขณะนี้มี 4 ประเทศ คือ กินี เซียร์ร่าลีโอน ไลบีเรียและ เมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย ส่วนกรณีผู้สงสัยชาวพม่าวัย 22 ปีนั้น ได้ประสานกับทางการพม่าแล้ว ผลตรวจเบื้องต้นพบว่าผู้ป่วยคนดังกล่าวติดเชื้อมาลาเรีย ไม่ได้ตรวจพบว่าติดเชื้ออีโบลาแต่อย่างใด
ขณะที่นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวเพิ่มเติมว่า ชายคนดังกล่าวถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในนครย่างกุ้ง เพื่อตรวจสอบอาการ ล่าสุดทราบทางวาจาว่าเป็นไข้มาลาเรีย แต่ยังต้องรอเอกสารอย่างเป็นทางการ รวมไปถึงตรวจสอบว่ามีการตรวจไวรัสอีโบลาหรือไม่ คาดว่าอีก 2 วันน่าจะรู้ผล ซึ่งขณะนี้ได้ลงพื้นที่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจสอบพื้นที่รองรับผู้โดยสารขณะเปลี่ยนเครื่องและหาทางป้องกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
22สค.ปลัดสธ.ตรวจสุวรรณภูมิ
นพ.โอภาสระบุด้วยว่า ผู้ป่วยคนนี้แวะเปลี่ยนเครื่องที่สุวรรณภูมิเท่านั้น ยังไม่ได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย จึงขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมโรคได้ประสานขอความร่วมมือไปยังการท่าอากาศยานไทย เพื่อเพิ่มมาตรการสอดส่องดูแลคัดกรองผู้ป่วย หากพบผู้ที่มีมีอาการต้องสงสัยให้รีบประสานหน่วยแพทย์โดยด่วน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22 สิงหาคม เวลา 16.00 น.นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมการทำงานด่านควบคุมโรค ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ทอท.ยันมีมาตรการสกัดโรคเข้ม
ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.กล่าวถึงผู้ป่วยชายชาวพม่าวัย 22 ปี ที่เดินทางกลับจากไลบีเรียและกินี ด้วยสายการบินเมียนมาร์ แอร์เวย์ อินเทอร์เนชันแนล เที่ยวบิน MAI 8M-332 แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า ทอท.มีระบบตรวจสอบป้องกันในส่วนนี้อยู่แล้ว โดยจะตรวจสอบจากต้นทางทางผู้โดยสารมาว่าเป็นจุดเสี่ยงหรือไม่ ถ้าพบความผิดปกติก็อาจกักตัวไว้รอดูอาการ รวมถึงมีทีมแพทย์เข้ามาร่วมตรวจสอบดูแลเตรียมพร้อมไว้ด้วย ยืนยันว่า ทอท.มีมาตรการดูแลควบคุมโรคร่วมกับสาธารณะสุข โดยตั้งด่านสกัด รวมถึงจัดพื้นที่พิเศษ หากพบมีผู้ป่วยเดินทางเข้ามาก็จัดพื้นที่พิเศษและนำส่งโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการควบคุมโรคต่อไป
เวียดนามเลิกกัก2ไนจีเรีย
วันเดียวกัน ทางการเวียดนามปล่อยตัวชายชาวไนจีเรีย 2 คน ที่เดินทางถึงเวียดนามเมื่อวันจันทร์และถูกกักตัวไว้ หลังเดินทางมาจากไนจีเรียและมีไข้ เพราะไม่แสดงอาการของการติดเชื้อไวรัสอีโบลา แม้ยังไม่ทราบผลตรวจหาเชื้อก็ตาม โดยกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามแถลงช่วงค่ำวันพุธว่า หลังเฝ้าดูอาการครบ 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยทั้ง 2 คน ไม่มีไข้แล้ว และไม่มีอาการของการติดเชื้ออีโบลา จึงปล่อยจากการกักตัว อย่างไรก็ดี ทางการจะให้ชุมชนเฝ้าระวัง 3 สัปดาห์นับจากวันที่พวกเขาเดินทางมาจากไนจีเรีย ส่วนผลตรวจเลือดอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันเรื่องเชื้อไวรัสอีโบลายังอยู่ระหว่างการวิเคราะห์และรอผลการยืนยันจากองค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามยังคงประกาศขอความร่วมมือให้ผู้โดยสาร ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับชายชาวไนจีเรียทั้งสองคนเข้าตรวจสุขภาพอย่างละเอียด พร้อมเพิ่มจุดตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้โดยสารขาเข้าและขาออก ทั้งที่สนามบินในกรุงฮานอยและเมืองโฮจิมินห์
2วันยอดตายพุ่ง1,350ราย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพฤหัสบดีถึงสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาหลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกาตะวันตกที่ยังวิกฤติ รวมถึงกรณีพบผู้ต้องสงสัยอาจติดเชื้อไวรัสอีโบลารายใหม่ทั้งในเวียดนามและพม่า ยิ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเชื้อไวรัสอาจระบาดจากแอฟริกาเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงกรณีพบผู้ป่วยต้องสงสัยในสหรัฐและสเปนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษา การป้องกันโดยกักตัวผู้ที่มีอาการน่าสงสัยและส่งเลือดตรวจหาเชื้อให้ชัดเจน น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ขณะที่องค์การอนามัยโลกแจ้งตัวเลขผู้เสียชีวิตจากอีโบลาล่าสุดว่าเพิ่มขึ้น 106 คน ในช่วง 2 วัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมแล้ว 1,350 คน ส่วนใหญ่อยู่ในไลบีเรีย กินี และเซียร์ราลีโอน
เล็งติดตามผู้ใกล้ชิดอีก13ราย
“นอกจากนี้ จะติดตามผู้ใกล้ชิดอีก 13 ราย ซึ่งมีทั้งผู้ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน 3 ราย ญาติผู้ใกล้ชิด และพนักงานในโรงแรมที่หญิงรายดังกล่าวเข้าพัก รวมถึงส่งทีมลงไปทำความสะอาดสถานที่ที่หญิงรายดังกล่าวสัมผัส ซึ่งกระบวนการทั้งหมดเป็นมาตรฐานการเฝ้าระวังโรค ไม่อยากให้ประชาชนแตกตื่นหรือเข้าใจผิด การเปิดเผยถือเป็นการทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบเฝ้าระวังและขอแนะนำให้ประชาชนติดตามข่าวจากกระทรวงสาธารณสุขต่อเนื่อง” ปลัดสาธารณสุขระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี