โล่งอกผลตรวจหญิงไทย
ไม่ติด‘อีโบลา’
อีก13คนใกล้ชิดก็ปกติ
สธ.สั่งเพิ่มระดับรับมือ
ทอท.ติดเทอร์โมสแกน
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดประชุมเตรียมความพร้อมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทั่วประเทศ จำนวน 550 คน เพื่อรับมือกรณีหากพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสมรณะ”อีโบลา”ในประเทศไทย
โดยนายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขมอบนโยบายให้บุคลากรทางการแพทย์ว่า ไวรัสอีโบลาเป็นเชื้อโรคติดต่อเฉียบพลันรุนแรง กำลังระบาดในหลายประเทศแถบแอฟริกา ขณะเดียวกันมีข่าวหญิงไทย อายุ 48 ปี ที่เดินทางกลับจากไลบีเรียแล้วมีอาการปวดศีรษะ กระทรวงสาธารณสุขจึงรับตัวมาสอบสวนโรค ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เน้นให้สธ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลอย่างเข้มงวด
ประกาศเป็นโรคติดต่อร้ายแรง
ปลัดสธ.กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการเบื้องต้นได้ประกาศให้ไวรัสอีโบลาเป็นโรคติดต่อร้ายแรงไปแล้ว มาตราการที่วางไว้คือ เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์และการพบผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลาต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ส่วนการดูแลผู้ป่วยมอบให้กรมการแพทย์ทำงานร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการวินิจฉัยและออกประกาศ โดยได้รับความร่วมมือจากวิทยาลัยแพทย์ต่างๆ เช่น ศิริราช จุฬาฯ เพื่อให้มีมาตรฐานในการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม สธ.จะปรับมาตราการตามสถานการณ์ ถ้าพบผู้ป่วยช่วงเฝ้าระวัง ซึ่งขณะนี้สถานพยาบาลที่ดูแลมี 4 แห่งคือ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลนพรัตน์ โรงพยาบาลเด็ก สถาบันบำราศนราดูร ในส่วนภูมิภาคเป็นหน้าที่โรงพยาบาลศูนย์ โดยประเด็นที่สธ.ให้ความสำคัญคือ ความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าควบคุมสถานการณ์ได้หรือไม่
ผลตรวจหญิง48ไม่พบเชื้อ
หลังการสัมมนา นายแพทย์ณรงค์ให้สัมภาษณ์ถึงผลการสอบสวนโรคหญิงไทยวัย 48 ปี ที่กลับมาจากไลบีเรียว่า ได้รับรายงานจากแพทย์ที่ดูแลไม่พบว่ามีไข้ อุณหภูมิร่างกาย 37 องศาเซลเซียสเป็นปกติ ผลการตรวจเลือดเบื้องต้นจากห้องปฎิบัติการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบมีผลเป็นลบ ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าติดเชื้อไวรัสอีโบลา ทั้งนี้ คณะกรรมการวินิจฉัยยืนยัน ซึ่งมี นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ เป็นประธาน จะพิจารณาผลการสอบสวนโรคว่าต้องเฝ้าระวังด้วยการเจาะเลือดตรวจอีกหรือไม่ หรือให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อใด ทั้งหมดเป็นไปตามหลักสากลในการควบคุมโรคคือ ให้อยู่ห้องแยกโรค ส่วนแพทย์ พยาบาล ผู้สัมผัส ให้ใส่ชุดปฏิบัติการกราวด์กันน้ำ
คร.เผยผลเลือดเป็นลบไม่มีไข้
ด้านนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.)เผยผลตรวจร่างกายของหญิงสาววัย 48 ปีเพิ่มเติมว่า อาการทั่วไปของหญิงรายดังกล่าวยังไม่มีไข้ โดยวัดไข้ทุก 4 ชั่วโมง ผลการตรวจเกล็ดเลือดอยู่ที่ปริมาณ 1.9 แสนต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานของผู้ต้องสงสัยติดเชื้ออีโบลา ที่จะมีเกล็ดเลือดต่ำกว่า 1.5 แสนต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ขณะที่ผลตรวจเลือดทางห้องแล็บเบื้องต้นเป็นลบ โดยคณะผู้เชี่ยวชาญฯ จะประชุมพิจารณาข้อมูลทางคลินิกอีกครั้ง ยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อใด
คนใกล้ชิด13รายอาการยังปกติ
สำหรับผู้ใกล้ชิด 13 ราย ซึ่งกรมควบคุมโรคติดตามอยู่ขณะนี้ นพ.โอภาสเผยว่า เบื้องต้นอาการปกติและหญิงไทยรายดังกล่าวยังไม่เข้าข่ายสงสัยว่าติดโรค อย่างไรก็ตาม น่าเป็นห่วงสภาพจิตใจ เนื่องจากหญิงคนดังกล่าว เริ่มเครียดและห่วงครอบครัว เพราะสื่อรายงานรายละเอียดประวัติครอบครัว จึงอยากขอความร่วมมือให้รักษาความลับของผู้ป่วยด้วย
สำหรับอาการของโรคอีโบลานั้น ผู้ป่วยจะมีไข้ อาเจียนและท้องเสีย ถ้ามีไข้ อาการจะทรุดเร็วมาก หากเกล็ดเลือดเริ่มต่ำ แล้วจะอาเจียนเป็นเลือด เป็นภาวะวิกฤตจะเสียชีวิตใน 2-7 วัน หากผ่านไปได้ ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ขณะที่วิธีการรักษาได้แก่ ให้เกล็ดเลือด ส่วนยาซีแมปที่ใช้รักษาแพทย์และพยาบาลชาวสหรัฐฯจนหายนั้น ทางการแพทย์ยังเป็นอัตราการรักษาหายที่ต่ำมาก ยังไม่ถือว่าสำเร็จ
ฮูจัดไทยประเทศเสี่ยงต่ำ
นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า จากข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ)รายงานสถานการณ์ระบาดของอีโบลาขณะนี้ ยังระบาดหนักในไลบีเรีย และเซียร์ลาลีโอน ส่วนที่กินีสถานการณ์ดีขึ้น และเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย ไม่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตรายใหม่ สำหรับตัวเลขล่าสุดพบมีผู้ป่วย 2,473 ราย เสียชีวิต 1,350 ราย และยังไม่ตรวจพบการติดเชื้อนอกเหนือจาก 4 ประเทศดังกล่าว ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก แบ่งสถานการณ์เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มประเทศระบาด 2.กลุ่มประเทศรอบๆการระบาด เช่น ไอเวอรีโคสต์ และประเทศที่มีผู้ป่วยเดินทางผ่านเข้าออก และ 3.กลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำ ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มนี้
ย้ำทอท.จับตาผู้โดยสารต่อเครื่อง
เมื่อถามถึงมาตรการดูแลผู้โดยสารที่เดินทางมาพักเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ นพ.โอภาสกล่าวว่า ตามกฎหมายหากยังไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ยังไม่ถือว่าเข้าประเทศ ไม่สามารถใช้กฎหมายควบคุมโรคติดต่อได้ แม้สธ.จะประกาศให้อีโบลาเป็นโรคติดต่ออันตรายแล้วก็ตาม ทั้งนี้ ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ทำความเข้าใจและแจ้งเตือนพนักงานทำความสะอาด และพนักงานรักษาความปลอดภัยในจุดที่ผู้โดยสารมารอเปลี่ยนเครื่อง ให้สอดส่องว่ามีผู้โดยสารมีอาการป่วยไข้โดยเฉพาะอาเจียนหรือไม่ หากพบให้แจ้งหน่วยแพทย์ท่าอากาศยานทันที
ผอ.บำราศฯปัดข่าวอพยพผู้ป่วย
ขณะที่พญ.จริยา แสงสัจจา ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูรชี้แจงกรณีมีการเสนอข่าวอพยพคนไข้ออกจากสถาบันฯเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังรับหญิงสาววัย 48 ปีมาสอบสวนโรคว่า ไม่เป็นความจริง ที่สถาบันฯดำเนินการเป็นแต่เพียงอนุญาตให้ผู้ป่วยที่อาการดีขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้กลับบ้าน เพื่อลดภาระการดูแลของเจ้าหน้าที่พยาบาล ส่วนการดูแลผู้ต้องสอบสวนโรคอีโบลาที่รับตัวมานั้น ใช้เจ้าหน้าที่ดูแล 6 คนต่อ 1 รอบ ติดกล้องวงจรปิด เพื่อสังเกตอาการตลอดเวลา โดยเหตุที่ต้องใช้สถาบันฯ เป็นที่สอบสวนโรคเนื่องจากมีความพร้อมทั้งห้องพัก เครื่องมือที่ใช้ดูแล
อาการหญิง48ปกติมีเครียดเล็กน้อย
พญ.จริยากล่าวด้วยว่า อาการของหญิงคนดังกล่าวไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่มีความเครียดเล็กน้อย เนื่องจากต้องอยู่ห้องควบคุมพิเศษตามลำพัง และถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาลที่ใส่ชุดป้องกันโรค และใช้การสื่อสารผ่านโทรศัพท์เท่านั้น เพื่อให้มีคนติดต่อสัมผัสน้อยที่สุด ส่วนผื่นที่ขึ้นตามร่างกาย เนื่องจากหญิงคนดังกล่าวมีประวัติเป็นผื่นแพ้ ซึ่งต่างจากผื่นที่มีเลือดออก อันเป็นอาการของอีโบลา
เฝ้าระวังสนามบินติดเทอร์โมสแกน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เดินทางไปตรวจด่านควบคุมโรคและจุดคัดกรองโรคที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับเปิดเผยว่า จากการหารือกับทอท.และสายการบินต่างๆเห็นตรงกัน ในการเพิ่มมาตรการติดตั้งเทอร์โมสแกน เพื่อตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงเป็นรายบุคคล แม้จะเพียงมาแวะพักเปลี่ยนเครื่องก็ตาม โดยจะติดตั้งทั้งหมด 5 เครื่อง พร้อมติดตั้งเจลล้างมือภายในอาคารทั้งหมด 80 จุด นอกจากนี้ ยังให้กรอกแบบฟอร์มประวัติสุขภาพผู้เดินทางหรือ ต.8 เป็นข้อมูล พร้อมที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ระหว่างอยู่ในประเทศไทย จากนั้นจะเข้าสู่ด่านควบคุมโรคตามมาตรการปกติ
นพ.เจรียงโรจน์ กฤษณา ผอ.ฝ่ายการแพทย์ บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การตั้งจุดเทอร์โมสแกนบริเวณอาคารโซนตะวันออก จะเป็นจุดที่เที่ยวบินจากโซนแอฟริกาเดินทางเข้ามา คือ สายการบินจากเคนย่า และเอธิโอเปีย เพราะไม่มีไฟล์ทบินตรง หากพบผู้เดินผ่านเครื่องเทอร์โมสแกนมีไข้ จะมีกระบวนการส่งต่อ โดยแยกผู้ต้องสงสัยออกจากอาคารทางพิเศษ และประสานนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ นำรถพยาบาลที่มีเจ้าหน้าสวมชุดป้องกันโรค ส่งตัวให้สถาบันบำราศนราดูรต่อไป
2มะกันติดอีโบลาหายแล้ว
วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์ระบาดของเชื้ออีโบลาว่า ดร.เคนท์ แบรนท์ลีย์ และแนนซี่ ไรท์โบล ชาวอเมริกัน ซึ่งติดเชื้อไวรัสอีโบลาขณะทำงานอยู่ในไลบีเรีย และถูกส่งตัวกลับสหรัฐมารักษาตัวด้วยยาซีแมปป์ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า หายจากอาการป่วย กลับบ้านได้แล้ว
ฮูจ่อถกนักวิจัยหาวิธีผลิตยารักษา
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) และสถาบันสุขภาพแห่งชาติเผยว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มียารักษาผู้ติดเชื้ออีโบลา ส่วนยาซีแมปป์ที่ใช้ขณะนี้ ไม่ใช่วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคได้ แต่ใช้ได้สำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้วเท่านั้น ขณะที่บริษัทผู้ผลิตระบุว่า การใช้ยาซีแมปป์กับผู้ติดเชื้อในแอฟริกา ทำได้อย่างจำกัด เพราะยาไม่เพียงพอ ขณะที่องค์การอนามัยโลก เตรียมจัดประชุมระหว่างวันที่ 4-5 กันนยายน ระดมความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนจากนานาชาติ เพื่อหายาหรือวัคซีนรักษาป้องกันไวรัสมรณะดังกล่าว
ส่วนสถานการณ์อีโบลาในแอฟริกาขณะนี้ แอฟริกาใต้ออกประกาศห้ามชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศซึ่งมีการระบาดเข้าประเทศเด็ดขาด เช่นเดียวกับ กินี ที่ปิดชายแดนซึ่งติดกับเซียร์ลาลีโอน และไลบีเรีย ป้องกันการระบาด สำหรับผู้ติดเชื้อในทวีปแอฟริกาทั้งหมดขณะนี้อยู่ที่ 2,473 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,350 คน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี