เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2557 เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า ครั้งที่แล้วตนกล่าวคำว่า “คิดถึง” ทุกคนสงสัยว่าส่งให้ใคร ขอเรียนว่า เป็นการกล่าวจากใจของตนเองและคสช.ทุกคน ที่คิดถึงประชาชนคนไทยที่ยังคงมีความยากลำบากในการดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย เกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ที่อยู่ในภาคการผลิต ต้องอาศัยน้ำจากน้ำฝน และการชลประทาน ขณะนี้ คสช. ยังไม่สามารถจะตอบสนองได้ทุกพื้นที่
“ผมเห็นจากแววตาเกษตรกรจากรูปถ่าย จากความเป็นจริงที่เคยประสบมา ที่เฝ้ามองฝนตกด้วยแววตาอันเปล่งประกายด้วยความยินดี เพื่อหวังให้พืชผลทางการเกษตรออกดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่นคือความสุขที่เรามองเห็นจากแววตาของเขา น่าเห็นใจ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ตาม คงต้องมองสิ่งเหล่านี้และแก้ปัญหาเขาให้ได้ อะไรที่เป็นความคาดหวัง เราจะทำให้เขาสมหวังได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
จากคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในครั้งนี้ ประกอบกับที่ คสช. ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรทันทีหลังจากการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยเฉพาะการช่วยเหลือชาวนาจำนวนประมาณ 830,000 ราย ที่ไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งควรได้รับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 เป็นต้นมา เป็นวงเงินประมาณ 93,000 ล้านบาท ซึ่งการตัดสินใจที่เด็ดขาด คสช. สามารถดำเนินการช่วยเหลือซับน้ำตาให้ชาวนา 830,000 ราย ได้รับเงินทุกรายเสร็จสิ้นภายในวันที่ 22 มิถุนายน 2557 ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน คสช. ได้ปลดเปลื้องความทุกข์สร้างรอยยิ้มให้แก่ชาวนาเหล่านี้ รวมทั้งคนไทยที่เข้าใจและเห็นใจปัญหาของชาวนาก็มีความสุขร่วมด้วยทั้งประเทศ
นอกจากนั้น ได้กำหนดนโยบายและวิธีการปฏิบัติเพื่อลดต้นทุนแก่ชาวนาในการผลิตข้าวฤดูนาปี 2557 เช่น การลดค่าปุ๋ยเคมี ค่าสารเคมี ค่ารถไถ ค่าเช่านา ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อลดต้นทุนการผลิตอีกไร่ละประมาณ 452 บาท เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มีประสิทธิภาพ ทั้งสองเรื่องที่ คสช. ดำเนินการภายในเวลาอันสั้นแต่มีประสิทธิภาพยิ่ง ทำให้เกิดความหวังว่า เกษตรกรไทยจะได้รับการดูแลและแก้ไขปัญหาที่หมักหมมมานาน ให้เป็นการพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ลดความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม มีความมั่นคงในอาชีพการเกษตรเหมือนผู้ประกอบอาชีพในสาขาอื่นๆ อย่างยั่งยืนสืบต่อไป
อนันต์ ดาโลดม
แต่หลังจากการแก้ไขปัญหาทั้งสองเรื่องดังได้กล่าวมาแล้ว คสช. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะคณะกรรมการทางด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม คณะกรรมการ กรอ. แต่คณะกรรมการบางคณะที่ควรจะมีตัวแทนภาคการเกษตรเข้าไปเป็นกรรมการด้วย ปรากฏว่ากลับไม่มี ยกเว้นปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ต่างกับคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจหลายคณะ จะมีสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย เข้าไปเป็นตัวแทนอยู่เกือบทุกคณะ ทำให้เกิดความสงสัยว่า ทำไมทางด้านเศรษฐกิจจึงไม่มีตัวแทนภาคเกษตร เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ หรือตัวแทนของสมาคมเกษตรอื่นๆ เข้าไปร่วมอยู่บ้าง
การไม่มีตัวแทนของภาคการเกษตรไปร่วม เราจึงได้เห็นผู้แทนของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ออกมาพูดเสนอยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรต่อ คสช. เป็นระยะ ซึ่งแน่นอนข้อเสนอเหล่านั้นย่อมตอบสนองความต้องการของพ่อค้า ตอบสนองอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบทางการเกษตร คือ ต้องการให้เกษตรกรผลิตให้มีต้นทุนต่ำที่สุด มีคุณภาพดีที่สุด โดยอ้างว่าเพื่อการแข่งขัน โดยที่ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องการคือ “ของดีราคาถูก” จึงจะสามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นการเสนอโดยมุมมองด้านเดียว คือมุมของพ่อค้า ที่เป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และคงจะต่อไปในอนาคต
เพราะสิ่งที่เขาเรียกร้องต่อภาคเกษตรให้ผลิต “ของดีราคาถูก” ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานปาล์มน้ำมัน โรงงานอาหารสัตว์ โรงงานยางพารา รวมทั้งผู้ส่งออกสินค้าเกษตร คือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยที่สุดกลุ่มหนึ่งของอำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ แต่ชาวนาผู้ปลูกข้าว เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปลูกอ้อย (ยกเว้นหลงจู๊อ้อย) เป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีฐานะยากจนที่สุดในสังคมไทย
นอกจากนั้น การที่ คสช. แต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) องค์ประกอบของ สนช. จำนวนเกือบ 200 คน ส่วนใหญ่จะเป็นทหาร ตำรวจ อดีตข้าราชการ ข้าราชการในปัจจุบัน ตัวแทนของกลุ่มทุน และผู้มีชื่อเสียงในสังคม แต่ในสายเกษตรมีตัวแทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพียงคนเดียว ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และจะเกษียณอายุในเดือนกันยายนนี้ ผู้ตรวจราชการคนนี้เข้ามาเป็น สนช. ได้อย่างไร ทุกคนในวงการเกษตรส่วนใหญ่แปลกใจ สืบไปสืบมาจึงรู้ว่าเป็น วปอ. Connection นี่คือการขาดโอกาสของตัวแทนเกษตรกรไทยอย่างแท้จริง
สำหรับสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ปรากฏว่า คสช. มีการแบ่งกลุ่มเพื่อให้มีตัวแทนเข้ามาสมัครเป็น สปช. ทั้งหมด 11 ด้าน คือ 1.ด้านการเมือง 2.ด้านการปกครองท้องถิ่น 3.ด้านการศึกษา 4.ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน 5.ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 6.ด้านเศรษฐกิจ 7.ด้านพลังงาน 8.ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม 9.ด้านสื่อสารมวลชน 10.ด้านสังคม 11.ด้านอื่นๆ
เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมไม่มีด้านการเกษตรซึ่งเป็น Real Sector ที่สำคัญยิ่งของประเทศไทย ทั้งนี้อาจจะคิดได้ในสองส่วน คือ ประการแรก ด้านการเกษตรอาจจะไปอยู่ในส่วนของด้านเศรษฐกิจ ประการที่สอง การให้ความสำคัญทางภาคการเกษตรน้อย คสช. อาจจะมองว่าเมื่อเข้าไปอยู่ทางด้านเศรษฐกิจก็คงจะให้ทางด้านนี้ดูแลได้ แต่เมื่อมาดูองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาด้านเศรษฐกิจ พบว่า ประกอบด้วยผู้แทนจากธนาคาร หอการค้า สภาอุตสาหกรรม โลจิสติกท์ ผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจอื่นๆ แต่ไม่มีตัวแทนของภาคเกษตรเลย รวมทั้งด้านอื่นๆ อีก 10 ด้าน ก็ไม่มีผู้แทนจากภาคเกษตรเลย ทำให้การที่ตัวแทนของภาคการเกษตรจะสมัครเข้ามาเป็นสมาชิกสปช. โอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกคงมีน้อย เพราะไม่ว่าจะสมัครด้านไหน คณะกรรมการสรรหาก็คงจะไม่รู้จัก ยกเว้นผู้มีชื่อเสียงที่ได้ออกข่าวทางสื่อมวลชนบ่อยๆ และผมไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะเป็นตัวแทนของภาคเกษตรได้อย่างแท้จริง
ภาคการเกษตรเป็นภาคที่ใหญ่ มีประชากรและแรงงานที่อยู่ประมาณ 40% ของคนทั้งประเทศ เป็นภาคที่มีปัญหามากที่สุด เกษตรกรไทยยากจน ด้อยการศึกษา ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการจำหน่ายผลิตผล จากการซื้อปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี สารเคมี รวมทั้งมีความด้อยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาหมักหมมกันมานาน และปัญหาเหล่านี้ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากประกอบอาชีพด้านการเกษตร ลูกหลานชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ไม่ยอมสืบทอดอาชีพการเกษตร เพราะเห็นความยากจน ความต่ำต้อยของบรรพชน รวมทั้งความยากลำบากในการมีชีวิตในชนบท และประกอบอาชีพ
ดังนั้นการที่ คสช. ไม่แยกภาคการเกษตรออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ก็เหมือนไม่ให้น้ำหนักและความสำคัญต่อภาคการเกษตรเท่าที่ควร การปฏิรูปภาคการเกษตรโดยอาศัยข้อเสนอ ข้อคิดเห็นของนายทุน ขุนศึก ข้าราชการ นักวิชาการ ผมไม่เชื่อว่าการปฏิรูปภาคการเกษตรนั้น จะประสบความสำเร็จได้
อนันต์ ดาโลดม
นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี