นอกจากประเด็นของ สปช. และ สนช. แล้ว งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2557 ในวงเงิน 2,575,000 ล้านบาท งบประมาณส่วนใหญ่มากกว่า 50% จะอยู่ที่ 5 กระทรวง คือ 1.กระทรวงศึกษาธิการ 502,245.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 19.5, 2.งบกลาง 365,084.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.2, 3.กระทรวงมหาดไทย 341,220.3 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 13.3, 4.กระทรวงกลาโหม 193,499.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.5, 5.กระทรวงการคลัง 186,336.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.2
แต่งบประมาณของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบเกษตรกรจำนวนประมาณ 5.7 ล้านครัวเรือน มากกว่า 30 ล้านคน และเป็นกลุ่มคนที่ยากจนที่สุด และจำนวนมากที่สุดของสังคมไทย กลับได้รับงบประมาณเพียง 81,891.5 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 3.2 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ถึงแม้จะอ้างว่าได้พิจารณาจากฐานงบประมาณเดิมๆ ที่เคยทำกันมา ก็คงจะเป็นมุมมองเดิมๆ ถึงการใช้วาทกรรมที่สวยหรู เพื่อปลอบใจเกษตรกรเท่านั้นเอง อาจจะมีข้ออ้างว่างบประมาณด้านการเกษตรได้กระจายไปอยู่ตามกระทรวงต่างๆ มากมาย ซึ่งถ้าเป็นข้ออ้างอย่างนี้ก็จะเป็นปัญหาเดิมๆ คือ เป็นงบประมาณเบี้ยหัวแตก แย่งกันทำงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ก่อให้เกิดความสับสนต่อเกษตรกรที่มีหน่วยงานต่างๆ เข้าไปช่วยเหลือเขามากเหลือเกิน ภาคการเกษตรจึงไม่ได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
ผมนึกถึงสมัยที่ ฯพณฯ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นระยะเวลา 8 ปี 5 เดือน ท่านได้ให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรและชนบทเป็นอย่างมาก โดยได้กำหนดนโยบาย แผนพัฒนาชนบทยากจนไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (ปี 2524 - 2529) โดยได้ใช้ดัชนีชี้วัดจากความจำเป็นขั้นพื้นฐาน (จปฐ.) จำแนกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดที่ยากจน เพื่อจะได้มีการพัฒนาพื้นที่เหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งสามารถจำแนกพื้นที่ยากจนได้ 44 จังหวัด 288 อำเภอ และอีกนับพันหมู่บ้าน ทำให้มีโครงการต่างๆ ลงไปพัฒนาในพื้นที่ยากจนมากมาย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหลังจากที่ท่านได้ลงจากตำแหน่ง รัฐบาลต่อๆ มาก็ไม่ได้สานนโยบายการพัฒนาชนบทยากจนต่อ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือรัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติ ชนบทไทยและเกษตรกรไทยก็ถูกถอดทิ้งเรื่อยมา จนเป็นเพียงแต่ภาคเศรษฐกิจอยู่ร่วมกับอุตสาหกรรม การค้า การบริการ และการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีสมาชิกที่มีความสามารถเหนือกว่าเกษตรกรทั้งด้านข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ความสามารถ ฐานะ พูดเสียงดัง สื่อสารกับสื่อมวลชนและรัฐบาลได้อย่างง่ายดาย ข้อเสนอต่างๆ ได้รับการแก้ไขและเผยแพร่ออกมาอย่างต่อเนื่อง บางครั้งข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรก็เป็นข้อเสนอที่เอาเปรียบเกษตรกร ต้องการให้เกษตรกรเป็นเครื่องมือในการผลิตให้บรรดาผู้ประกอบการเหล่านี้ ได้วัตถุดิบที่มีราคาถูก คุณภาพดี หรือได้ “ของดีราคาถูก” เกษตรกรจึงเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มคนเหล่านี้ตลอดมา
ท่านประธานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านได้เห็นแววตาเกษตรกรจากรูปถ่าย จากความเป็นจริงที่เคยประสบมา ที่เฝ้ามองฝนตกด้วยแววตาอันเปล่งประกายด้วยความยินดี เพื่อหวังให้พืชผลทางการเกษตรออกดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “แต่เกษตรกรจะมีความสุขมากที่สุดก็เมื่อเขาสามารถขายผลผลิตได้ราคาดี มีรายได้เหนือต้นทุนการผลิต มีกำไรที่จะนำไปเลี้ยงดูครอบครัว เช่น ค่าเล่าเรียนลูกหลาน ค่าเสื้อผ้าเครื่องนุ่มห่ม เครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหาร และมีเงินเหลือเก็บไว้สำหรับการลงทุนในฤดูกาลผลิตต่อไป”
การที่จะทำให้เกษตรกรขายผลิตผลได้ในราคาที่เป็นธรรม นอกจากการดูแลจากภาครัฐแล้ว คสช. จะต้องรู้ทันพ่อค้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าในท้องถิ่น เจ้าของลานมันสำปะหลัง เจ้าของโรงงานน้ำตาล เจ้าของโรงงานอาหารสัตว์ เจ้าของโรงสกัดและกลั่นปาล์มน้ำมัน เจ้าของโรงสีข้าว เจ้าของโรงงานยางพารา และอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตรเพื่อการแปรรูป อย่าเอาเปรียบเกษตรกรผู้ผลิต เช่น 1.กดราคารับซื้อผลผลิต 2.หักเปอร์เซ็นต์ความชื้นเกินกว่าความเป็นจริง 3.โกงตาชั่ง 4.โกงคุณภาพ เช่น กรณีมันสำปะหลัง โกงเปอร์เซ็นต์แป้ง กรณีอ้อย โกงเปอร์เซ็นต์ความหวาน กรณีปาล์มน้ำมัน โปงเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มดิบ กรณีข้าว โกงความชื้น สิ่งเจือปนเหล่านี้ เป็นต้น
คสช. ควรให้กระบวนการโกงในประเด็นเหล่านี้เป็นคดีอาชญากรรม และมีการลงโทษอย่างจริงจัง ก็จะเป็นการช่วยยกระดับรายได้ให้เกษตรกรระดับหนึ่ง โดยที่รัฐบาลไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ให้มีการปราบปรามการโกงในลักษณะนี้อย่างจริงจัง
นอกจากนั้น คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 116/2557 แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการร่วม จัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า (Roadmap) คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และอ้อย เพื่อขับเคลื่อนสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานทดแทนจากสินค้าเกษตร
คณะอนุกรรมการชุดนี้มีอำนาจหน้าที่ จัดทำยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถของพืชเศรษฐกิจทั้ง 4ชนิด ให้มีความสามารถในการแข่งขันอย่างมั่นคงและยั่งยืน สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 11 และยุทธศาสตร์ของ คสช. ที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งและความสมดุลของภาคเกษตร เพื่อตอบสนองมิติความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน
ยุทธศาสตร์ที่ คสช. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการชุดนี้ไปจัดทำมี 5 ข้อ คือ 1.การบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจ (Zoning) 2.การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ 3.การนำนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตและส่งเสริมการผลิตให้ได้มาตรฐานและมูลค่าเพิ่ม 4.การผลิตแบบเกษตรแผนใหม่ (Modern Farming) 5.การสร้างความร่วมมือในการพัฒนาการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain)
ซึ่งยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ข้อ ดูเสมือนว่าเป็นข้อเสนอของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่เคยเสนอต่อ คสช. ดังนั้น คณะอนุกรรมการชุดนี้ คงจะดำเนินงานเป็นไปตามแนวทางของกลุ่มทุน และถ้าเป็นไปได้ ผมใคร่ขอเสนอและขอเป็นตัวแทนของเกษตรกร ขอให้ คสช. กำหนดยุทธศาสตร์เพิ่มอีกข้อหนึ่ง คือ ข้อ 6 โดยให้ระบุว่า การกดราคารับซื้อผลผลิตของเกษตรกร การโกงเกษตรกรของพวกพ่อค้าที่รับซื้อผลผลิตของเกษตรกรทั้งการโกงตราชั่ง กับเปอร์เซ็นต์ความชื้น หักสิ่งเจือปน โดยการโกงเปอร์เซ็นต์แป้งของมันสำปะหลัง โกงเปอร์เซ็นต์ความหวานของอ้อย โกงเปอร์เซ็นต์ CPO และอื่นๆ ให้ถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ต้องมีบทลงโทษอย่างรุนแรง
ได้ติดตามข่าวจากสื่อมวลชน เกี่ยวกับการแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปรากฏชื่อของคนบางคนที่เป็นบิ๊กเนม อดีตเคยข้ามฟากจากข้าราชการกระทรวงพาณิชย์มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบุคคลผู้นี้ได้สร้างผลงานชิ้นโบว์ดำ คือ “การทุจริตในโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า โครงการลำไยอบแห้ง ในปี 2547” ซึ่งกำลังจะทำให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องคดีทั้งทางด้านวินัยและคดีอาญาอีกไม่ต่ำกว่า 10 คน หากคนผู้นี้ได้รับการมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก ภาคการเกษตรก็คงจะสิ้นหวังที่จะได้มีการปฏิรูปตามนโยบายของ คสช.
อนันต์ ดาโลดม
นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี