ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการเพิ่มผลผลิตด้านอาหารให้เพียงพอกับผู้บริโภค และหนึ่งในนั้นคือ สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เป็นเหตุให้เกิดปัญหาตามมามากมายหลายอย่าง ได้แก่ ปัญหาการใช้สารเคมีในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีในดิน น้ำ ผลผลิตทางการเกษตร และห่วงโซ่อาหาร เพราะสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทุกชนิดเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต หากใช้เกินความจำเป็นหรือขาดความระมัดระวังในการใช้แล้ว จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและดินเกิดความเสื่อมโทรม
นายอภิชาต จงสกุล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า กรมพัฒนาที่ดิน ได้น้อมนำเอาสูตรปุ๋ยอินทรีย์ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานให้นำมาเผยแพร่และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและต่อเนื่อง จึงได้กำหนดให้มีการจัดตั้งเป็นธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ขึ้น โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นา ในครัวเรือน และจากโรงงานอุตสาหกรรม มาฝากไว้ที่ธนาคาร จากนั้นธนาคารจะทำการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรมาเบิกถอนเอาไปใช้ประโยชน์ เมื่อวัสดุนั้นย่อยสลายเป็นปุ๋ยแล้ว หรือให้เกษตรกรกู้ยืมปุ๋ยจากธนาคารไปใช้แล้วใช้หนี้ด้วยวัสดุเหลือใช้จากไร่นาและโรงงานอุตสาหกรรมหรือปุ๋ยคอก เพื่อให้เกิดการผลิตและมีการนำไปใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง มีราคาถูก พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการเผาและปัญหาจากกำจัดหรือทิ้งขยะในอนาคต
ด้าน นายสมโสถติ์ ดำเนินงาม ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กล่าวว่า สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของวัสดุเหลือใช้ในการเกษตรและโรงงานอุตสาหกรรม ให้เกษตรกรลดละเลิกการเผาด้วยการนำเอาวัสดุเหลือใช้จากไร่นามาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี เป็นการลดต้นทุนในการผลิตด้วย
ส่วนของกรมพัฒนาที่ดิน ได้มีนโยบายให้สำนักงานพัฒนาที่ดินเขตทั้ง 12 เขต สถานีพัฒนาที่ดินทุกจังหวัดทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนหมอดินอาสา ลงพื้นที่เป้าหมาย โดยดำเนินการประสาน ให้ข้อมูล ทำความเข้าใจ บูรณาการงานร่วมกัน โดยกรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานหลัก เชิญชวนหน่วยงานภาครัฐในจังหวัด เกี่ยวกับการอบรม สาธิต และส่งเสริมให้ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ โดยผ่านเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน และเครือข่ายหมอดินอาสา
ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กล่าวอีกว่า ปุ๋ยอินทรีย์ เป็นปุ๋ยที่ได้จากการหมักให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย จนอยู่ในรูปที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างของดิน และสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารที่พืชต้องการในการเจริญเติบโตได้ แบ่งประเภทปุ๋ยอินทรีย์ออกเป็น 4 ประเภท คือ “ปุ๋ยคอก” ได้แก่ ปุ๋ยที่ได้จากมูลของสัตว์ทุกชนิดและคน “ปุ๋ยหมัก” เกิดจากการนำซาก เศษเหลือจากพืชมาหมักรวมกัน ผ่านกระบวนการย่อยสลายจนเปลี่ยนสภาพไปจากเดิมเป็นวัสดุที่มีลักษณะอ่อนนุ่ม เปื่อยยุ่ย ไม่แข็งกระด้าง ไม่มีกลิ่น มีสีน้ำตาลปนดำ
“ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ” หรือ “น้ำหมัก” ได้มาจากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากพืชสัตว์ที่มีลักษณะสด โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ในสภาพที่ไม่มีออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีลักษณะเป็นของเหลวใสสีน้ำตาล ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต กรดอินทรีย์ กรดอะมิโนกรดฮิวมิก น้ำย่อย วิตามิน แร่ธาตุ และฮอร์โมน และ “ปุ๋ยพืชสด” ได้จากการตัดสับ ไถกลบพืชลงดินในระยะออกดอกยังสด ต้องทิ้งไว้ในดิน 7-15 วัน เพื่อให้เซลล์พืชอ่อนตัวและค่อยๆย่อยสลายตัวอย่างสมบูรณ์ จนพืชสามารถดูดซับธาตุอาหารได้
เชื่อว่าหากเกษตรกรนำปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยพืชสด ในการปรับปรุงบำรุงดินมาปรับใช้ในพื้นที่ของตนเองแล้ว ต้นทุนในการผลิตลดลงได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน ตลอดจนส่งผลให้ความเป็นอยู่ของเกษตรกรมั่นคงและยั่งยืนขึ้นแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี