ปลาเวียน จัดเป็นปลาน้ำจืดของไทยที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ มีขนาดโดยเฉลี่ยประมาณ 40 - 50 เซนติเมตร นอกจากจะเป็นปลาที่มีรสชาติอร่อย ปลาเวียนยังถูกจัดเป็นปลาปลาสวยงามที่หายากและมีราคาแพง ปัจจุบันพบว่าปลาชนิดนี้มีจำนวนลดน้อยลงมาก สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง ไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายพันธุ์ปลาเวียนในธรรมชาติ หรือการจับปลาเวียนขึ้นมาใช้ประโยชน์จำนวนมากจนส่งผลให้ธรรมชาติไม่สามารถผลิตลูกพันธุ์ได้ทันต่อความต้องการ
นายนพดล ภูวพานิช ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กล่าวว่า ปลาเวียนเป็นปลาน้ำจืดที่จัดอยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน รูปร่างคล้ายกับปลาตะเพียน แต่ลำตัวจะยาวและมีสีสันที่สะดุดตากว่า ลำตัวจะมีสีฟ้าอมเขียว บริเวณส่วนหลังจะมีสีเขียวเข้ม หัวมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับลำตัว มีหนวดยาวอยู่ตรงบริเวณจะงอยปากและมุมปาก ปลาเวียนจะมีลักษณะคล้ายปลาพลวง ซึ่งถ้ามองเผินๆจะมีลักษณะเหมือนกันมาก วิธีที่ใช้จำแนกตระกูลปลาเวียนและปลาพลวงนั่นก็คือการสังเกตแผ่นปิดใต้คาง (medien lope) ปลาเวียนจะมีแผ่นปิดใต้คางแต่ปลาพลวงจะไม่มี
ปลาเวียนอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำตก ห้วย และแหล่งน้ำที่ใสสะอาด เช่น ในต้นแม่น้ำเพชรบุรี อ่างเก็บน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี แม่น้ำไทรโยกน้อย จังหวัดกาญจนบุรี แม่น้ำปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชประภา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปกติปลาชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่บริเวณต้นน้ำบนเทือกเขา เมื่อถึงฤดูฝนถึงจะอพยพย้ายถิ่นลงมาทางปากน้ำ ซึ่งหลังจากการสำรวจแล้วพบว่าจำนวนปลาเวียนในธรรมชาติลดน้อยลงจนใกล้สูญพันธุ์ กรมประมง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเพชรบุรี จึงได้ดำเนินการศึกษาวิจัยเพาะขยายพันธุ์ปลา โดยเริ่มตั้งแต่การรวบรวมพ่อแม่พันธุ์ปลาเวียนจากธรรมชาติ วิธีการเพาะขยายพันธุ์ การอนุบาลรวมถึงรูปแบบการเลี้ยงเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาให้เป็นการเลี้ยงเชิงเศรษฐกิจ
น.ส.สุภาพร มหันต์กิจ รักษาการณ์ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเพชรบุรี
กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ศูนย์ฯ ได้รวบรวมพันธุ์ปลาเวียนจากแหล่งน้ำธรรมชาติ จะนำพ่อแม่พันธุ์ปลามาเลี้ยงในบ่อน้ำหมุนเวียนระบบปิด โดยมีการจัดระบบน้ำภายในให้มีการไหลเวียนตลอดเวลาเพื่อให้คล้ายการไหลของน้ำตามลำธารต้นน้ำโดยวิธีในการเพาะขยายพันธุ์ที่ทางศูนย์ฯ ใช้จะมี 2 วิธี คือ การเพาะพันธุ์แบบกึ่งธรรมชาติ และการเพาะพันธุ์โดยวิธีฉีดฮอร์โมนผสมเทียม
การเพาะพันธุ์แบบกึ่งธรรมชาติ โดยการปรับสภาพแวดล้อมภายในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ให้คล้ายคลึงกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด รวมถึงการให้วิตามินเสริมในอาหารสำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ และตรวจสอบความสมบูรณ์เพศของพ่อแม่พันธุ์ปลาในระหว่างเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ซึ่งพบว่าพ่อแม่พันธุ์ปลาเวียนสามารถเพาะพันธุ์และวางไข่ได้ โดยการสังเกตพบว่าแม่พันธุ์ปลาเวียนที่สมบูรณ์เพศพร้อมสำหรับการเพาะพันธุ์จะสลัดไข่ออกมา ดังนั้นเมื่อพบว่าแม่ปลามีพฤติกรรมดังกล่าว จะนำมารีดไข่โดยการรีดเบาๆ หากไข่ไหลให้ทำการรีดต่อแต่หากรีดแล้วมีเลือดไหลให้หยุดรีดทันที นำไข่ที่รีดได้ผสมกับน้ำเชื้อของปลาเพศผู้ แล้วโรยบนแผงฟักไข่ที่ใช้มุ้งฟ้าขนาดช่องตา 16 ซึ่งวางภายในบ่อที่มีระดับน้ำประมาณ 25 เซนติเมตร เปิดน้ำไหลผ่าน 1 ลิตรต่อนาที ไข่จะเริ่มฟักเป็นตัวใช้เวลาประมาณ 72 – 96 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ 21-27 องศาเซลเซียส
การเพาะพันธุ์โดยวิธีฉีดฮอร์โมน จะทำฉีดต่อมใต้สมองปลาไนให้แม่พันธุ์ 2 ครั้ง จากนั้นนำมารีดไข่นำไข่ที่รีดได้มาผสมกับน้ำเชื้อ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด และนำไข่ที่ได้ไปฟักในระบบเดียวกับการเพาะพันธุ์แบบกึ่งธรรมชาติ การเพาะพันธุ์ปลาเวียนพบว่ามีอัตราการปฏิสนธิระหว่าง 87.06 – 99.0 เปอร์เซ็นต์ อัตรารอด 94.16 – 95.40 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบันทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเพชรบุรีมีพ่อแม่พันธุ์ปลาเวียนจำนวน 85 ตัว สามารถเพาะขยายพันธุ์ลูกปลาเวียนขนาด 1 นิ้วได้ประมาณ 20,000 – 30,000 ตัวต่อปี ซึ่งแน่ใจได้ว่าปลาเวียนจะไม่สูญพันธุ์แน่นอน แต่สิ่งสำคัญอยากขอให้ประชาชนร่วมมือกันสอดส่องดูแลสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ในธรรมชาติ เพื่อเป็นการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ช่วยกันคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศเพื่อให้สัตว์น้ำได้ใช้เป็นแหล่งเพาะขยายพันธุ์สืบต่อไป
สำหรับท่านใดที่สนใจศึกษาวิธีการเพาะขยายพันธุ์ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดต่อขอศึกษาดูงานได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเพชรบุรี โทร. 0-3241-6521-2 หรือสำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด โทร. 0-2579-0562
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี