เข้าสู่กลางฤดูฝน แม้จะมีฝนตกหนักเกือบทุกวันแต่ปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่นั้นยังมีปริมาณค่อนข้างน้อย ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2557 ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 33 แห่งทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวมกับเพียง 36,595 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือ ร้อยละ 52 ของปริมาณการกักเก็บ น้อยกว่าช่วงเดียวกันในปี 2556 ที่มีปริมาณน้ำ 40,049 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งปี 2556 ปริมาณน้ำก็น้อยกว่าค่าเฉลี่ยอยู่แล้วปีนี้ยิ่งน้อยลงไปอีก
นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน กล่าวว่า เมื่อสถานการณ์น้ำน่าห่วงเช่นนี้ กรมชลประทานจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มในการบริหารจัดการน้ำ โดยนำแนวทางการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งมาใช้ในฤดูฝนปีนี้ จากที่เคยไม่ต้องจัดรอบเวรการใช้น้ำในฤดูฝน ก็ต้องมีการนำระบบจัดรอบเวรแบ่งปันการใช้น้ำมาใช้ โดยดูจากพื้นที่การเพาะปลูกเป็นหลัก จะส่งน้ำเข้าแปลงนาที่อยู่ที่ลุ่มก่อน จากนั้นจึงส่งให้นาในที่ดอนตามลำดับ แต่หากมีฝนตกมากก็จะหยุดปล่อยน้ำเพื่อเก็บไว้เป็นต้นทุนใช้ในฤดูแล้ง
ว่าที่ร้อยตรีไพเจน มากสุวรรณ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ กรมชลประทาน กล่าวว่า จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ก่อนจะสิ้นสุดฤดูฝนปีนี้น่าจะมีพายุเข้ามาอีก 3 ลูก โดยเข้ามาทางภาคเหนือ 1 ลูก ภาคกลาง 1 ลูก และภาคใต้อีก 1 ลูก โดยพายุที่พัดเข้าภาคเหนือจะมีผลต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย นอกจากนี้ก็อาจจะมีพายุจรพัดผ่านประเทศไทยบ้าง ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนมากขึ้น พื้นที่ลุ่มต่ำอาจจะมีน้ำท่วมบ้างแต่จะไม่ยาวนาน ดังนั้นการเตรียมพร้อมในภาวะปกติจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากมีภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือ หรือแก้ไขได้ทันต่อเหตุการณ์
รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า นอกจากกรมชลประทานได้เตรียมรับมือน้ำท่วมทั้งด้านการบริหารจัดการ และความพร้อมของระบบป้องกันน้ำท่วม การซ่อมแซมสถานีสูบน้ำ รวมทั้งการขุดลอกคลองและกำจัดวัชพืชที่ขึ้นในคลองต่างๆไว้แล้ว ด้านเครื่องจักร เครื่องมือ ก็ได้มีการเตรียมพร้อมไว้กว่า 1,000 รายการ โดยในจำนวนนี้เป็นการจัดซื้อหลังจากเกิดมหาอุทกภัยปี 2554 กว่า 400 รายการ ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำชนิดต่างๆ ทั้งเครื่องสูบน้ำระบบไฮดรอลิก รถสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเคลื่อนที่ และเครื่องสูบน้ำชนิดหอยโข่ง เรือกำจัดวัชพืช รถลากจูง เรือลากจูง เครื่องผลักดันน้ำ รถขุดขนาดต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ สูงสุดรวมกันได้มากว่า 47 ล้านลบ.ม.ต่อวัน
โดยเฉพาะโครงการระบายน้ำบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ได้มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จำนวนถึง 4 เครื่อง แต่ละเครื่องสามารถสูบน้ำได้ 25 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้สามารถระบายน้ำออกสู่ทะเลได้ถึง 100 ลบ.ม.ต่อวินาที
“เราจะต้องเตรียมความพร้อมไว้ แม้สถานการณ์น้ำท่วมเหมือนปี 2554 จะมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้ยากในปีนี้ก็ตาม แต่อาจจะเกิดน้ำท่วมขึ้นได้ในบางจุด เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำจะต้องพร้อมเข้าไปช่วยเหลือทันที เพื่อบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากเครื่องจักร เครื่องมือดังกล่าว โดยเฉพาะเครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ ยังสามารถนำมาใช้ในกรณีที่เกิดภัยแล้งได้อีกด้วย” ว่าที่ร้อยตรีไพเจนกล่าว
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถนำ เครื่องจักร เครื่องมือ ไปช่วยเหลือได้ทันต่อสถานการณ์ กรมชลประทานได้มีการ กระจายเก็บสำรองไว้ในพื้นที่ต่างๆ หากเป็นเครื่องขนาดใหญ่ จะเก็บไว้ที่สำนักเครื่องจักรกล อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ส่วนเครื่องมือและเครื่องจักรที่มีขนาดเล็กลงไป จะเก็บไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการเครื่องจักรกลทั้ง 7 แห่งทั่วประเทศ คือ จ.เชียงใหม่ จ.พิษณุโลก จ.นครราชสีมา จ.ขอนแก่น จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นนทุบุรี และจ.สงขลา ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วมหรือน้ำแล้งสามารถขอความช่วยเหลือจากศูนย์ทั้ง 7 แห่งดังกล่าวได้
ไม่ว่าน้ำท่วม หรือ ภัยแล้งจะมาเยือนปีนี้ กรมชลประทานประกาศพร้อมรับมือ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี