การบุกยิงเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นและการวางระเบิดแสวงเครื่องในที่ทำการเทศบาลตำบลมะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อกลางวันของวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา จนทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเสียชีวิต 4 ศพ และมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งประชาชนอีก 7 ราย และต่อเนื่องด้วยการยิงถล่มที่ทำการปกครองท้องถิ่นใน จ.ปัตตานีอีก 2 แห่ง และตามมาด้วยการระเบิดเส้นทางรถไฟที่ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทั้งหมดคือการ “ตอบโจทย์” ว่า สถานการณ์ที่แผ่นดิน “ปลายด้ามขวาน” ยังเป็น “ปกติ” เหมือน 10 ปีที่ผ่านมา
ที่บอกว่า “ปกติ” เนื่องจากตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดเหตุรุนแรงระลอกใหม่ขึ้นที่แผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้ ไม่เคยมี วันไหน ที่แผ่นดินนี้จะเงียบจากเสียงระเบิด เสียงปืน และงานศพ ของเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน ทั้งที่เสียชีวิตจากการเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์ และการเสียชีวิตจากการ “เจาะจง” ของผู้ “กระทำ”
สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเทศบาลตำบลมะกรูด และต่อเนื่องถึงการวางระเบิดเส้นทางรถไฟที่ต.ตันหยงลิมอ
“จึงเป็นสถานการณ์ “ปกติ” ที่อย่าได้นำไป “ยึดโยง” กับเรื่องการเดินทางไป “ปูทาง” เพื่อการ “พูดคุยสันติสุข” ของนายถวิล เปลี่ยนศรี” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ “สมช.” ที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา และอย่าได้นำไป “ยึดโยง” กับการโยกย้ายแม่ทัพภาคที่ 4 ให้วุ่นวายอย่าง “เลเพลาดพาด”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 11 ต่อเนื่องถึงวันที่ 12 กันยายน จึงเป็นเหตุการณ์ “ปกติ” ที่ “แนวร่วม” หรือกลุ่มก่อการร้าย ยังเกาะติดในพื้นที่ เกาะติดเจ้าหน้าที่ และเห็น “ช่องว่าง” ของการรักษาความสงบของแผน “โคกโพธิ์โมเดล” มองเห็น “ช่องโหว่” ของศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า หรือ ศปก.อำเภอโคกโพธิ์ จึงได้ปฏิบัติการก่อเหตุ เพื่อสร้างความสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
เป็น “อีกครั้งหนึ่ง” ซึ่งหมายถึงไม่ได้เป็น “ครั้งแรก” เพราะปฏิบัติการเช่นนี้เคยเกิดขึ้น ทั้งใน จ.ปัตตานี และใน จ.นราธิวาส หลายครั้ง ดังนั้นปฏิบัติการครั้งนี้จึงไม่ใช่ “ครั้งสุดท้าย” ซึ่งคงจะเป็น “โจทย์” อีกข้อหนึ่ง ที่ทิ้งให้บรรดา “เสนาธิการ” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า หรือ ศปก.อ. ได้นำไป “แก้ทาง” เพื่อหาทางป้องกันการเกิดเหตุในครั้งต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเทศบาลตำบลมะกรูดได้ “ตอกย้ำ” ให้เห็นว่า แม้แต่พื้นที่ ซึ่งเป็นชุมชนของ “ไทยพุทธ” ยังไม่ใช่พื้นที่ “ปลอดภัย” เพราะการวางระเบิดที่ “บ่อนไก่” เมื่อหลายวันก่อน และการก่อเหตุที่เทศบาลตำบลมะกรูด ล้วนเป็นพื้นที่ “ไทยพุทธ” เป็นส่วนใหญ่ แต่ “แนวร่วม” ยังสามารถที่จะก่อเหตุได้อย่าง “อิสระเสรี” ที่บอกว่า “อิสระเสรี” เพราะก่อนปฏิบัติการครั้งนี้ “หน่วยข่าว” ในพื้นที่ ไม่มีหน่วยไหน ระแคะระคาย ว่าจะมีการก่อเหตุครั้งใหญ่ต่อ องค์การบริหารท้องถิ่นแห่งนี้ และหลังเกิดเหตุ “แนวร่วม” หรือ “คนร้าย” หลบหนีได้อย่าง “ลอยนวล” ท่ามกลางความ “มืดมน” ของเจ้าหน้าที่ เพราะยังไม่รู้ว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเป็นใคร ซึ่งสุดท้าย เจ้าหน้าที่คงใช้วิธีเดิมๆ ในการสรุปความคืบหน้า ด้วยการกาง “รายชื่อ” ของ”แนวร่วม” ในพื้นที่ ซึ่งเคยก่อเหตุและมีหมายจับ พร้อมระบุว่า เป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุในครั้งนี้
ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีการปฏิบัติการ “แนวร่วม” ในพื้นที่ได้ทำการเผากล้องวงจรปิดในพื้นที่ ต.มะกรูด เพื่อป้องกันการ “จับภาพ” ของคนร้าย เป็นการเตรียมการล่วงหน้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้สนใจกับเหตุที่เกิดขึ้น ไม่มีการ “วิเคราะห์” ถึงการเผากล้องวงจรปิด เพื่อหาทางป้องกันเหตุ รวมทั้งก่อนเกิดเหตุที่เทศบาลตำบลมะกรูด “แนวร่วม” ได้ฆ่าชิงรถกระบะจากเจ้าของรถยนต์ในพื้นที่ บ้านล่องมุด อ.เทพา จ.สงขลา และนำรถยนต์ไปใช้ก่อเหตุ หลังจากพบว่ามีการฆ่าชิงรถ เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ก็ไม่ได้ “สำเหนียก” ว่าจะมีปฏิบัติการ “คาร์บอมบ์” หรือ “กราดยิง” เกิดขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องมีการตั้งข้อสังเกตคือ การที่ “แนวร่วม” เลือกที่จะก่อเหตุกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน จ.ปัตตานี 3 แห่งพร้อมๆ กัน มาจากสาเหตุอะไร และหวังผลอะไร มีเรื่อง “การเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องมีการสรุปออกมาให้ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านเลยไป อย่างที่เคยเกิดขึ้นขึ้นกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่ง แต่ไม่เคยมีบทสรุปที่ “ชัดเจน” ว่าเกิดจากอะไร ทุกเหตุการณ์ เหมือนกับการ “ซุกขยะ” เอาไว้ “ใต้พรม” ทั้งสิ้น
และสิ่งสำคัญ เมื่อเป้าหมายการ “ทำลายล้าง” องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าเป็นเทศบาล หรือเป็น อบต. ไม่ได้จบลงที่ เทศบาลตำบลมะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้ง องค์กรปกครองท้องถิ่น จะร่วมกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
ซึ่งคงจะเป็น “หน้าที่” ของ บรรดา “เสนาธิการ” ทั้งหลายของกองทัพ ที่จะต้อง “ขบคิด” ให้ได้ “แนวทาง” ในการป้องกัน เพื่อแสดงให้เห็น “ศักยภาพ” ของการเป็น “เสธ.” ที่จะต้องเก่งกว่า “เสธ.” ของกลุ่มก่อการร้าย ที่อาจจะเป็นแค่ “ดอเลาะ, ซาและ” ซึ่งเป็นแค่ “อุสตาซ” ที่ทั้งชีวิตไม่เคยผ่านโรงเรียนเสนาธิการ แม้แต่เสี้ยววินาที
ส่วนความคิดเห็นของภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ที่มีต่อการแก้ปัญหา “ไฟใต้” นั้น คงไม่มีความหมายที่จะ “ส่งผ่าน” ความเห็นไปยัง หน่วยงานผู้รับผิดชอบกับปัญหา “ไฟใต้” เพราะจากการตั้งข้อสังเกตการณ์ทำหน้าที่ดับ “ไฟใต้” นับตั้งแต่มี คสช. ทุกอย่าง “รวมศูนย์” จาก “ส่วนกลาง” มีวิธีคิด “ที่ถูกสรุป” จาก “ส่วนกลาง” แล้ว ในระดับพื้นที่ เพียงต้องการผู้ปฏิบัติ ที่สามารถทำตาม “คำสั่ง” เท่านั้น
บทบาทของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมที่เป็นอยู่ ณ วันนี้ คงเป็นเพียง “พิธีกรรม” เพราะให้เห็นถึงความสมบูรณ์ตาม “รูปแบบ” เท่านั้น เพราะแม้แต่ตัวแทนภาคประชาชน ที่มี “กฎหมาย” กำหนดอย่าง “สภาที่ปรึกษาการบริการและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็น “พ.ร.บ.” ก็ยังถูกละเลย โดยการ “เมินเฉย” ที่จะแต่งตั้งจากรัฐบาล แล้วจะนับประสาอะไรกับตัวแทนภาคประชาชนและประชาสังคมที่ไม่มีกฎหมายรองรับ
โดยข้อเท็จจริง สถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะ “รุนแรง” มากขึ้น หรือ “ลดน้อย” ลงนั้นองค์ประกอบสำคัญย่อมมาจากผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ด้วย ซึ่งในอดีตก่อนที่จะมีการ “รัฐประหาร” และมี คสช. ผู้มีอำนาจหน้าที่ ประกอบด้วย แม่ทัพภาคที่ 4 และ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการมีผู้มีอำนาจและหน้าที่ 2 คน ถูกกองทัพมองว่าเป็นความ “ขัดแย้ง” และไม่มี “เอกภาพ” ในการดับ “ไฟใต้”
ดังนั้นหลังการกำเนิดของ คสช. หลังรัฐประหาร อำนาจหน้าที่ของ ศอ.บต. จึงถูกลด “บทบาท” ให้เป็น ศอ.บต.ส่วนหน้า อยู่ภายใต้การ “สั่งการ” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดยมีแม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นผู้ “สั่งการ”
ที่มี “อำนาจ” ที่ “เด็ดขาด” แต่เพียงหนึ่งเดียว
โดยมี พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นแม่ทัพคนแรกที่มีอำนาจ “เด็ดขาด” รับผิดชอบทั้งงานด้าน “ยุทธการ” และงานด้านการ “พัฒนา” เพื่อที่จะ “ทดลอง” ให้เห็นว่า การมี “แม่ทัพ” ที่ใหญ่ที่สุดเพียงคนเดียวนั้น จะสร้าง “เอกภาพ” ให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ และนอกจากจะให้อำนาจ “แม่ทัพ” ในการ “สั่งการ” อย่าง “เบ็ดเสร็จ” แล้ว ยังมีการใช้ “กฎอัยการศึก” เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาตามแบบฉบับของ “กำปั้นเหล็ก” เพื่อการควบคุมพื้นที่ และควบคุมสถานการณ์
หกเดือน บนตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 และผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าของพล.ท.วลิต โรจนภักดี ซึ่งถือเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ที่โชคดีที่สุด เพราะเป็นแม่ทัพภาค 4 ที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุด และได้รับการ “อวยยศ” ให้เป็น “พล.อ.” หลังพ้นตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ในวันที่ 30 กันยายนนี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การให้แม่ทัพภาค 4 มี “อำนาจ” อย่าง “เบ็ดเสร็จ” เพียงผู้เดียว ในการทำตามคำสั่งที่ถูก “กำหนด” มาจาก “ส่วนกลาง” ได้ทำให้ปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยลงหรือไม่ และประชาชนพึงพอใจต่อนโยบายดังกล่าวหรือไม่ รวมทั้งเห็น “เอกภาพ” ของหน่วยงานต่างๆ เกิดขึ้นแล้วยัง
วันนี้ มีการเปลี่ยนแม่ทัพภาคที่ 4 จาก พล.ท.วลิต โรจนภักดี มาเป็น พล.ต.ปราการ ชลยุทธ ซึ่งการเปลี่ยน “แม่ทัพ” ย่อมมีความหมายต่อสถานการณ์ความรุนแรงไม่มากก็น้อย จริงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะย้ำอยู่ทุกบ่อยว่า “แม่ทัพ” ใครจะมาเป็นก็ได้ เพราะนโยบายของการดับ “ไฟใต้” มาความ “ชัดเจน” ใครมาเป็น “แม่ทัพ” ก็ต้องปฏิบัติตามนโยบาย ดังนั้นใครมาเป็น “แม่ทัพ” ก็ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน
แต่ ...โดยข้อเท็จจริงสำหรับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ความคิดเช่นนี้อาจจะ “ผิดแผก” ไปจากข้อเท็จจริงตรงที่ “นโยบาย” เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ถ้าได้ “แม่ทัพ” ที่มีความ “เข้าใจ” มี “วิสัยทัศน์” มี “บุคลิก” และมีความ “ศรัทธา” ของประชาชนและผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นที่ตั้ง ความร่วมมือที่ “แม่ทัพ” ได้รับจากทุกภาคส่วนก็จะ “ผิดแผก” แตกต่างกัน และความ “สำเร็จ” ที่จะเกิดขึ้น หรือผล “สัมฤทธิ์” ที่ออกมาก็จะไม่เหมือนกัน
ฉะนั้น “ไฟใต้” จะดับได้เร็วได้ช้า ไม่ได้อยู่ที่ “นโยบาย” เพียงด้านเดียว แต่ตัว “บุคคล” ที่ถูกส่งมาเป็น “แม่ทัพ” ก็ย่อมมีความสำคัญไม่น้อยกว่านโยบาย เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะได้บ่งบอกถึง “นัย” ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนว่าวิธีคิดจาก
“ส่วนกลาง” ด้วยการมี “พระเอก” เพียงคนเดียว ได้สร้าง “เอกภาพ” ให้เกิดขึ้นในการดับ “ไฟใต้” ได้แล้วยัง
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี