อีกครั้งกับการรวมพลังแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงาน การแก้ไขปัญหา และพัฒนาท้องถิ่น เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายชุมชนน่าอยู่ให้ขยายผลสู่ชุมชนไทยทั่วทั้งประเทศ กับงาน “ร้อยพลัง สร้างสุข” จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เมื่อไม่นานมานี้ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์
ในงานนี้ มีการระดมผู้นำและคนทำงานชุมชนจากทั่วทุกภูมิภาคกว่า 600 เครือข่าย มาร่วมทบทวนบทเรียน และสรุปผลการทำงานแบบบูรณาการในพื้นที่ เพื่อหาแนวทางการทำงานที่ยั่งยืนต่อไป
ทำให้มองเห็นภาพที่สดใสของชุมชน และ ได้เห็นความสุขที่ปรากฎอยู่บนใบหน้า และ รอยยิ้มของคนแต่ละคนในชุมชน อย่างน่าชื่นใจที่สุด
ในงานนี้ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ชุมชนท้องถิ่นกับอนาคตประเทศไทย” ผ่านประสบการณ์การทำงานเพื่อพัฒนาชุมชนกว่า 50 ปีว่า การเข้าไปทำงานกับชุมชน ไม่ใช่แค่การถามว่าชุมชนมีปัญหาอะไรผ่านนายกอบต. กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน แต่คนทำงานพัฒนาจะต้องสอบถามและพูดคุยกับสมาชิกชุมชนทุกหลังคาเรือน เพื่อรับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงของชาวบ้าน อย่างเช่น เวลาเข้าไปลงพื้นที่ สิ่งที่คนทำงานต้องเอาไปด้วยทุกครั้งคือ ตา หู จมูก ปาก ทุกประสาทสัมผัส เข้าไปดูชาวบ้านจริงๆ ว่าพวกเขามีความเป็นอยู่อย่างไร มีวิถีชีวิตอย่างไร ขยันขันแข็งกันหรือไม่ เมื่อรู้ปัญหาและความต้องการที่แท้ของชาวบ้านแล้วถึงทำ และควรทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6 ปี รวมถึงคำนึงว่าทุกบาทที่ขับเคลื่อนงาน ชาวบ้านได้อะไร
นอกจากนี้ เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ยังให้คำแนะนำเพื่อทำงานชุมชนเพิ่มเติมว่า ในการพัฒนาควรพัฒนาเชิงพื้นที่ ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ศึกษาข้อมูลภูมิสังคมอย่างละเอียดถูกต้อง รวมถึงต้องสร้างความเข้าใจระหว่างรัฐบาล ท้องถิ่น และชุมชน เพื่อประสานการทำงานทั้งจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ทั้งแนวดิ่งและแนวราบอย่างต่อเนื่อง
นายธวัชชัย ฟักอังกูร อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารแผน สำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. ได้สะท้อนความเห็นจากการทำงานในท้องถิ่นให้ทราบในงานนี้ว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาท้องถิ่นของประเทศไทยให้ข้าราชการเป็นต้นน้ำ ทั้งการคิดและการวางแผนทำงานให้ชุมชน โดยที่ประชาชนเป็นฝ่ายขอ รอ และคอย ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การพัฒนาชุมชนไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แตกต่างจากการทำงานในโครงการของ สสส. เน้นการทำงานเพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็งและน่าอยู่ โดยให้พื้นที่เป็นตัวตั้ง หลังการลงพื้นที่ทำงาน จึงเข้าไปสนับสนุนให้ชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงบทบาทของตนเอง ทำให้สถานภาพของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปจากเป็นฝ่ายที่ต้องขอ รอ และคอยให้แต่ละโครงการมีขึ้น ก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายที่ลุกขึ้นมาคิด และลงมือทำเองจากสิ่งที่เป็นความต้องการของท้องถิ่นแท้ๆ”
ส่วนปัจจัยที่เอื้อให้การทำงานของชุมชนประสบความสำเร็จ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า ผู้นำและคนในชุมชนจะต้องเป็นกลุ่มคนที่มี “จิตอาสา” ในหัวใจ เพราะพวกเขาจะเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาและสานต่องานของชุมชนในอนาคต
ด้านบทบาทการทำงานของ สสส. ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ให้ข้อมูลว่า สสส.ดำเนินงานมา 12 ปีเต็ม เริ่มต้นจากงานลดปัจจัยเสี่ยง การเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ ลดอุบัติเหตุ ฯลฯ โดยมุ่งเน้นการสนับสนุนงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดมาตรการทางสังคม จนนำไปสู่นโยบายสาธารณะเสริมสร้างสุขภาวะที่มีผลบังคับใช้ จนมาถึงใน เวทีนี้ สสส. หวังว่าแต่ละชุมชนที่มาร่วมงาน จะได้ถอดบทเรียน แลกเปลี่ยน ขยายผล และมีแบบอย่างให้กลุ่มเพื่อนภาคีนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาท้องถิ่นของตนเองได้ เพราะการแก้ไขปัญหาชุมชน จะต้องแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ไม่สามารถเจาะจงทำเป็นเรื่องเดียวได้เบ็ดเสร็จ คนในชุมชนจึงต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่จะลุกขึ้นมาแก้ไขปัญหา จากนั้นมาร่วมกันคิด ร่วมกันวางแผน และร่วมลงมือทำ โดยหากแต่ละชุมชนสามารถพัฒนาตนให้เกิดลักษณะของวงจรการทำงานเช่นนี้ได้ การแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่ จะเริ่มเกิดขึ้นทีละน้อย และค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น จนสามารถขยายผลสู่ชุมชนอื่นๆ ได้
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ทำให้โสตประสาทของเราได้ยินเสียงเพลงคืนความสุขให้ประชาชนดังก้องกังวาลอยู่ในสมอง ซึ่ง “ปานมณี”ก็เพียงได้แต่ภาวนาว่า “ขอให้เพลงนี้สถิตอยู่ในหัวใจของคนไทยไปได้นานแสนนานด้วยเถิด”
โดย ปานมณี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี