“น้ำ” เป็นอีกเรื่องที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสำคัญ เพราะน้ำคือ ชีวิตของประชาชน และเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติ คสช. จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขึ้นมา โดยมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน
สำหรับหน้าที่ที่สำคัญของคณะกรรมการชุดนี้ คือ กำหนดกรอบนโยบายและแผนงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การป้องกันแก้ปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และคุณภาพน้ำของประเทศ พร้อมเสนอแผนงาน โครงการ และมาตรการเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้ คสช.พิจารณา
เพื่อให้ทำงานสัมฤทธิ์ผลตามหน้าที่ดังกล่าว จึงมีการตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำขึ้นมา 5 กลุ่ม โดยกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญอยู่ที่ 2 กลุ่มแรกคือ คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กลุ่มที่ 1 รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และตะวันออก มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน และอธิบดีกรมชลประทานเป็นเลขานุการ และคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กลุ่มที่ 2 รับผิดชอบภาคใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน และอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ เป็นเลขานุการ
คณะอนุกรรมการทั้ง 2 กลุ่ม มีหน้าที่จัดทำแผนและโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โครงการ งบประมาณและผลกระทบ พร้อมลำดับความเร่งด่วนของโครงการ โดยจัดประชุมรับฟังปัญหาและแนวทางแก้ไขจากทุกภาคส่วน ครอบคลุม 24 ลุ่มน้ำหลักของประเทศ เพื่อสรุปให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พิจารณาเสนอ คสช. ก่อนที่จะจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำของประเทศให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2557
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ อธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะและเลขานุการคณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกลุ่มที่ 1 กล่าวว่า คณะอนุกรรมการฯกลุ่มที่ 1 ได้จัดประชุมสัมมนารับฟังปัญหาเรื่องน้ำทั้งหมด 5 ครั้งโดยแบ่งตามลุ่มน้ำ ระหว่างวันที่ 8-12 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา โดยประชุมในพื้นที่ภาคเหนือ 2 ครั้ง ภาคกลาง 2 ครั้ง และ ภาคตะวันออก 1 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 18 ลุ่มน้ำ ดังนี้
ครั้งที่ 1 จัดประชุมที่ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นลุ่มน้ำระหว่างประเทศในพื้นที่ภาคเหนือ คือ ลุ่มน้ำสาละวิน ลุ่มน้ำกก และลุ่มน้ำโขงเหนือ
ครั้งที่ 2 จัดประชุมที่ จังหวัดพิษณุโลก เป็นลุ่มน้ำในภาคเหนือที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา คือลุ่มน้ำปิง ลุ่มน้ำวัง ลุ่มน้ำยม และลุ่มน้ำน่าน
ครั้งที่ 3 จัดประชุมที่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นกลุ่มลุ่มน้ำภาคกลางที่ไม่มีแหล่งต้นน้ำของตนเองในพื้นที่ คือ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำท่าจีน
ครั้งที่ 4 จัดประชุมที่ จังหวัดเพชรบุรี เป็นกลุ่มลุ่มน้ำภาคกลาง ที่มีต้นน้ำภายในลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำแม่กลอง ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำเพชรบุรี และลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลประจวบคีรีขันธ์
ครั้งที่ 5 จัดประชุมที่ จังหวัดระยอง เป็นกลุ่มลุ่มน้ำภาคตะวันออก คือ ลุ่มน้ำปราจีนบุรี ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำโตนเลสาบ และลุ่มน้ำชายทะเลฝั่งตะวันออก
ส่วนที่เหลืออีก 6 ลุ่มน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดประชุมในลักษณะเดียวกัน
อธิบดีกรมชลประทานกล่าวว่า หลังจากรับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่แล้ว จะนำข้อมูลมาสรุปว่า มีปัญหาเรื่องน้ำประเด็นใดบ้าง เกิดขึ้นเมื่อไร เกิดบ่อยหรือไม่ และมีความรุนแรงจนเกิดความเสียหายเพียงใด และมีความจำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขหรือไม่ จากนั้นก็จะนำมาวิเคราะห์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร เกิดจากการกระทำของมนุษย์ หรือจากธรรมชาติ หรือสาเหตุอื่นๆ เพื่อนำมากำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการแก้ไขปัญหา และเลือกนำมาตรการแก้ไขที่สอดคล้องกับปัญหาและสภาพแต่ละพื้นที่มาใช้ ซึ่งจะแบ่งเป็นมาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง และบางปัญหาอาจใช้ทั้งมาตรการใช้สิ่งก่อสร้างและไม่ใช้สิ่งก่อสร้างร่วมกัน
นอกจากนี้ก็จะนำมาจัดกลุ่มโครงการ โดยจะแบ่งตามปัญหา แยกเป็น 3 กลุ่มโครงการ คือ กลุ่มแก้ปัญหาภัยแล้ง กลุ่มบรรเทาปัญหาน้ำท่วม และกลุ่มจัดการคุณภาพน้ำ ซึ่งจะเป็นการมองการแก้ปัญหาทั้งเชิงรับ และเชิงรุก คือ ไม่ใช่คอยแก้ไขอย่างเดียวแต่เพื่อป้องกันและส่งเสริมด้วย ทั้งนี้ในแต่ละกลุ่มก็จะแบ่งขนาดของโครงการต่างๆ ออกเป็นขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ พร้อมกับจัดลำดับความสำคัญ วัตถุประสงค์ วงเงินและผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อน
“หลังจากนั้นจะนำเสนอต่อคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และ คสช. เพื่อจัดทำเป็นแม่บทบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ที่สอดคล้องต่อชีวิตความเป็นอยู่ สภาพปัญหาและความต้องการของคนไทยในแต่ละพื้นที่มากที่สุด”อธิบดีกรมชลประทานกล่าว
หลายคนอาจจะถามว่า แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ฉบับ คสช.นี้เมื่อกำหนดมาแล้วจะสามารถปฏิบัติได้จริงเกิดผลเป็นรูปธรรมหรือไม่ ?
คำตอบในเรื่องนี้ อาจจะไม่สามารถฟันธง หรือ ยืนยันได้ 100% แต่การจัดทำแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำในครั้งนี้ แตกต่างจากแผนบริหารจัดการน้ำที่ผ่านมา เพราะมีการรับฟังปัญหาจากประชาชนก่อนจัดทำแผนให้ตรงกับความต้องการท้องถิ่นมากที่สุด ต่างจากเดิมที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดจึงทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถดำเนินงานได้ตามแผน ดังนั้นแนวทางที่คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ดำเนินการนี้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน
15 ตุลาคม 2557 นี้ ก็จะได้รู้ว่า แผนแม่บทบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยฉบับใหม่ ที่เกิดจากประชาชน เป็นอย่างไร?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี