วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557, 15.11 น.
18 ก.ย. 57 นายบัณฑิต ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศมาตรการแก้ปัญหานักเรียนตีกัน โดยหลังจากนี้หากพบว่าสถาบันใดก่อเหตุทะเลาะวิวาทจะต้องถูกสั่งปิดทันที ว่า มาตรการแก้ไขปัญหานักเรียนทะเลาะวิวาทของกระทรวงศึกษาธิการที่ใช้อยู่แล้ว เช่น สถานศึกษาใดที่เป็นฝ่ายก่อเหตุครบ 3 ครั้ง ให้งดรับนักศึกษาในปีการศึกษาถัดไป อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรี ได้ย้ำและต้องการให้ใช้มาตรการปิดสถานศึกษาหรือคณะที่ก่อเหตุทันที่ระหว่างที่มีการสอบสวน ทางสช. ก็จะต้องดำเนินการตาม หลังจากนี้ หากสถานศึกษาใดก่อเหตุจะถูกปิดการเรียนการสอนทันที 3-7 วันในระหว่างที่มีการสอบสวน โดยต้องพิจารณาถึงความรุ่นแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และสถานศึกษาแห่งนั้นจะต้องทำแผนป้องกันการก่อเหตุซ้ำเสนอมาให้สช.พิจารณา ถ้าผ่านการพิจารณาจาก สช.จึงจะสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ รวมถึง หากพบว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากความบกพร่อง ปล่อยละเลยของสถานศึกษา ก็จะต้องพิจารณาโทษของผู้บริหารด้วย
“เปิดภาคเรียนที่ 2 สช.เสนอให้นำนักเรียน นักศึกษาของวิทยาลัยกลุ่มเสี่ยงทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) มาเข้าค่ายคุณธรรม จริยธรรมร่วมกัน โดยจะขอความร่วมมือจากทหารในการจัดค่าย และจะมีมาตรการสำรวจและรายชื่อเด็กกลุ่มเสี่ยง ซ้ำรวมถึงรายชื่อรุ่นพี่ผู้มีอิทธิพลด้วย เมื่อได้รายชื่อมาแล้ว ประสานกับผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอความร่วมมือทำโครงการฝากลูกไว้กับตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์หน้าจะเชิญผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มเสี่ยง ทั้งอาชีวศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ทั้งหมด มาชี้แจงถึงมาตรการล่าสุดนี้ เพื่อร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหา” นายบัณฑิต กล่าว
ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)จะส่งSMS แจ้งไปยังสถานศึกษาสังกัด สอศ.ทุกแห่ง ให้ซักซ้อมมาตรการป้องกันนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทในช่วงปิดภาคเรียน โดยให้ยึดตามแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่ให้ปิดสถานศึกษาที่ก่อเหตุทันที ในระหว่างสอบสวน อย่างไรก็ ผู้บริหารมีอำนาจสั่งปิดสถานศึกษา ในกรณีพิเศษ เช่น มีเหตุสุ่มเสี่ยงจะทำให้เกิดอันตรายต่อนักเรียน นักศึกษาอยู่แล้ว โดยมีอำนาจสั่งปิดได้ไม่เกิด 7 วัน ถ้ามากกว่านั้น จะต้องขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น โดยที่ผ่านเมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขึ้นสถานศึกษาหลายแห่งก็ใช้มาตรการ ปิดเรียนเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว โดยเฉพาะในวันสถาปนาสถานศึกษา บางแห่งก็จะสั่งหยุดเรียนในวันดังกล่าวเลย เพื่อป้องกันเหตุร้าย
“กรณีที่นายกฯ สั่ง ถือเป็นมาตรการป้องกัน มาตราที่เข้มข้นขึ้นก็คือการปิดถาวร โดยที่ผ่านมาก็เคยมีวิทยาลัยอาชีวเอกชนบางแห่งถูกปิดถาวรไปแล้ว โดยจะเริ่มจากให้งดรับนักเรียนนักศึกษาในปีถัดไป ระหว่างนั้นก็จะดูประสิทธิภาพในการทำแผนแก้ปัญหา ถ้าหย่อนยาน เกิดเหตุซ้ำอีก ก็จะให้งดรับนักเรียน นักศึกษาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สถานศึกษานั้นก็จะถูกสังคมจับตามอง และต้องปิดตัวไปโดยปริยาย” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
นายชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า มาตรการสั่งปิดสถานศึกษาถาวรบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถาวร เพราะนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ก็จะยกกลุ่มย้ายไปเข้าเรียนสถานศึกษาอื่นแทน เพราะฉะนั้นแนวทางแก้ปัญหาเร่งด่วน ก็คงต้องใช้แนวทางลงโทษนักเรียน ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ด้วยการลงโทษนักเรียน พ.ศ. 2549 ซึ่งมีโทษตามลำดับขั้นตั้งแต่ตักเตือน ภาคทัณฑ์ ตัดคะแนนความประพฤติ ปรับพฤติกรรม และปรับพฤติกรรมโดยการให้ไปเรียนที่สถานศึกษาอื่น
ขณะที่ นายโสภณ กันภัย ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับนโยบายของนายกฯ ที่หากเกิดกรณีมีการทะเลาะวิวาทรุนแรง ก็ควรจะปิดสถานศึกษาก่อนจนกว่าจะแก้ไขปัญหาและสอบสวนแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม ซึ่งตนเห็นว่าวิธีการแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทที่ได้ผลนั่นคือการที่รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ต้องบังคับใช้กฎระเบียบอย่างเข้มงวด ทั้งระเบียบการแต่งกาย ทรงผมของนักเรียน นักศึกษา โดยต้องกำหนดให้สถานศึกษาทุกสังกัดทั้งรัฐและเอกชนใช้เหมือนกันทั่วประเทศ
“อยากให้บังคับใช้กฎระเบียบจริงจัง เพราะเด็กจะกลัวและผู้ปกครองก็สบายใจที่สถานศึกษาดูแลลูกหลานของเขาได้อย่างปลอดภัยและอยู่ในระเบียบวินัย อย่างที่วิทยาลัยฯเรามีฉายาว่าช่างกลหัวเกรียน เด็กผู้ชายทุกคนต้องตัดผมเกรียนสะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นเด็กไม่มีลักษณะที่ไปยั่วยุอารมณ์ ก็จะไม่เกิดปัญหา ดูได้อย่างเด็กโรงเรียนช่างฝีมือทหาร เขาก็ตัดผมเกรียนและอยู่ในระเบียบวินัย ถึงเวลารับนักเรียนคนก็แห่มาสมัครเรียนเพราะเขาวางใจ ซึ่งการเข้มงวดในเรื่องกฎระเบียบนี้ทำให้เราไม่มีปัญหาเด็กทะเลาะวิวาทต่างสถาบันเรามาเป็น 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังพบปัญหาการดักซุ่มทำร้ายร่างกาย ซึ่งอาวุธที่ใช้ไม่ใช่ไม้ หรือมีดแบบที่ผ่านมา แต่กลับเป็นปืน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นอาวุธที่หาได้ง่าย ซื้อได้ตามอินเตอร์เน็ต จึงอยากขอให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาตรงนี้ด้วย” นายโสภณ กล่าว
ส่วน รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตนได้กำชับกับผู้บริหารของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวายแล้วว่า ให้มีการดูแลนักศึกษาของแต่ละสถาบันอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์ และมาตรการต่างๆ มายังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยด่วน ซึ่งหลังจากนี้หากพบว่ายังมีปัญหานักศึกษาตีกันเกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะการทำร้ายร่างกายข้ามสถาบัน ไม่ว่าสถาบันใดก็ตามต้องมีการสั่งให้ยุติการดำเนินการของสถาบันนั้นๆ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ระบุว่าหากสถาบันใดตีกันอีกจะปิดสถาบันนั้นทันที
“สกอ.ไม่มีอำนาจสั่งปิดสถาบัน เพราะอำนาจสั่งปิดอยู่ที่สภามหาวิทยาลัย ซึ่งที่ผ่านมาทางสถาบันก็เป็นผู้สั่งปิดเองอยู่เป็นระยะๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ เช่น 3-5 วัน เป็นต้น แต่เนื่องจากเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาพูดเรื่องนี้ และยังมี คสช. อยู่ด้วย ผมก็จะอาศัยอำนาจของ คสช. ในการสั่งปิดสถาบันได้ แต่คงเป็นการปิดชั่วคราวจนกว่าสังคมจะไว้วางใจ และไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีก ไม่ใช่ปิดถาวรไปเลย อย่างไรก็ตามวันนี้ปัญหานักศึกษาตีกันทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม สกอ.คงต้องเข้ามาช่วยดูแล และจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งผมรู้สึกรับไม่ได้ที่ในสถาบันการศึกษายังมีนักเลงที่ใช้อาวุธทำร้ายคนอื่น และใช้ศาลเตี้ยตัดสินคนที่ไม่รู้เรื่อง” เลขาธิการ กกอ. กล่าว
เลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ทหาร-ตำรวจเข้าไปตรวจค้นอาวุธภายใน 2 สถาบัน และพบอาวุธจำนวนมากนั้น หากหลังจากนี้ทั้งสองสถาบันจัดการเก็บอาวุธให้หมดก็คงไม่ลงโทษผู้บริหาร แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นอีก ต้องกลับมาดูว่าผู้บริหารปล่อยปละละเลย ให้ท้าย หรือให้ที่ซ่อนเร้นหรือไม่ ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องลงโทษทางวินัยกับผู้บริหารด้วย