ชาวบ้านวัดไผ่ล้อมร้องสภาทนาย โดน'หลวงพี่น้ำฝน'ไล่พ้นพื้นที่
วันพฤหัสบดี ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557, 16.07 น.
Tag :
18 ก.ย. 57 ที่สภาทนายความ ถ.ราชดำเนิน เมื่อเวลา 10.30 น. น.ส.มนัญญา จันทรังษี อายุ 39 ปี เป็นผู้นำกลุ่มชาวบ้านชุมชนวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ. นครปฐม จำนวน 11 คน พร้อมเอกสารหลักฐานเข้ายื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับนาย สุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ โดย น.ส.มนัญญาอ้างว่า ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนหลังถูกคณะกรรมการวัดไผ่ล้อม ติดป้ายประกาศให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ และทางคณะกรรมการวัดเสนอค่ารื้อถอนให้หลังละ 20,000 บาท ทำให้ชาวบ้านจำนวน 80 หลังคาเรือนได้รับผลกระทบไม่มีที่อยู่อาศัย
น.ส.มนัญญากล่าวว่า ชาวบ้านอาศัยเช่าที่วัดอยู่มาตั้งแต่ปี 2516 ทำสัญญาเช่าที่กับทางวัดตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระครูปุริมานุรักษ์ หรือหลวงพ่อพูล ยังเป็นเจ้าอาวาส มีบริษัทปรีดาธุรกิจ จำกัด ก่อสร้างห้องแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ และให้ชาวบ้านเช่าเฉลี่ยปีละประมาณ 450 บาท สัญญาเช่าไม่ระบุวันหมดสัญญา กระทั่งปี 2548 หลวงพ่อพูลมรณภาพ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ขึ้นเป็นเจ้า อาวาสแทน ต่อมาปี 2554 ทางวัดไม่ได้เก็บค่าเช่าเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ชาวบ้านเริ่มหวั่นเกรงว่าจะถูกไล่ที่ จึงเข้าไปสอบถามกับทางคณะกรรมการวัด ได้รับการยืนยันว่าไม่มีการไล่ที่แต่อย่างใด จากนั้นไม่มีการเก็บค่าเช่าที่อีกถึงปัจจุบัน
น.ส.มนัญญากล่าวว่า กระทั่งเดือน มี.ค.57 มีจดหมายจากทางสำนักงานทนายความของวัดไผ่ล้อม แจ้งความประสงค์ขอคืนพื้นที่ให้เช่าของวัดไผ่ล้อมไปถึงชาวบ้านทุกหลังคาเรือน เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ในพื้นที่ที่ดินโฉนดเลขที่ 7029 ของวัด ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยคณะกรรมการมีมติให้ดำเนินการรื้อถอนบ้านพักอาศัย เพื่อก่อสร้างโรงเรือนขึ้นมาใหม่ และขอให้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปภายใน 5 เดือน ต่อมาเดือน ก.ค.57 ทางคณะกรรมการวัดนำป้ายมาปัก “ให้ขนย้ายทรัพย์สินออกให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เพราะทางวัดไผ่ล้อมจะเริ่มทำการรื้อถอนอาคารบ้านเรือนทั้งหมดในวันที่ 15 ต.ค.57 คณะกรรมการปรับปรุงภูมิทัศน์วัดไผ่ล้อม”
น.ส.มนัญญากล่าวว่า ต่อมาวันที่ 9 ก.ย.57 ทางวัดว่าจ้างผู้รับเหมารายหนึ่งเข้ารื้อถอนบ้านพักของตน เลขที่ 27/18 ทั้งที่ประตูบ้านปิดล็อกไว้ โดยมารดาเป็นเจ้าของบ้านไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด จึงแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนครปฐม เป็นหลักฐาน ทั้งนี้มีชาวบ้านประมาณ 4-5 หลังที่ยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนรายละ 20,000 บาท ส่วนที่เหลือไม่ยอมรับเงิน เพราะต่างไม่รู้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหน เรียกร้องขอความเป็นธรรมกับสภาทนายความให้ช่วยเหลือทางกฎหมาย โดยชาวบ้านไม่พร้อมที่จะย้ายออกจากที่ดิน แต่พร้อมจะปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้ดีขึ้น เพราะอาคารพาณิชย์ที่ทางวัดจะสร้างนั้นมีมูลค่าสูงถึงหลังละประมาณ 3 - 3.5 ล้านบาท มีสัญญา 30 ปี ทำให้ชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นคนหาเช้ากินค่ำไม่มีปัญญาจะไปซื้อ
นอกจากนี้ยังมีบ้านปูนชั้นเดียวเลขที่ 999 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้แก่คนพิการรายหนึ่งไว้เป็นที่พักซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วัดอีกด้วย
นาย สุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย สภาทนายความ กล่าวว่า มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สอบสวนเบื้องต้นไว้เป็นข้อมูล ก่อนนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะทำงาน เพื่อพิจารณาว่าจะรับเรื่องไว้ช่วยเหลือหรือไม่ จะเร่งพิจารณาโดยเร็ว ทั้งนี้หากคณะทำงานรับเรื่องนี้ไว้ช่วยเหลือ หนทางที่ดีที่สุดคือการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยทางคณะทำงานจะลงพื้นที่ไปดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พร้อมเข้าเจรจาหารือกับทางคณะกรรมการวัด ส่วนเรื่องบ้านที่ถูกรื้อนั้นจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าทำถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ขอเวลาให้คณะทำงานสอบสวนและพิจารณาข้อมูลในเบื้องต้นก่อน.