เริ่มนับหนึ่งใหม่รอบ4
ฆ่าฝรั่งไม่คืบ
ตรวจDNAอีกกว่า100
แบ่งผู้ต้องสงสัยออกเป็น4กลุ่ม
ควานหาคนใส่รองเท้าเบอร์40
อ้างพยานโผล่ซัดฝีมือต่างชาติ
นายกฯติงอย่าเต้นตามสื่อนอก
เมื่อวันที่ 25 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฆาตกรรม นายเดวิด วิลเลียม กับน.ส.ฮันนาห์ วิคตอเรีย 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเสียชีวิตที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ว่า พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รักษาราชการแทนผู้บังคับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล(รรท.ผบก.สส.บช.น.) นำชุดสืบสวนลงพื้นที่หาเบาะแสแรงงานต่างด้าวและชายไทยที่มีความสูง 170 ซม.สวมรองเท้าเบอร์ 40 ตามลักษณะรอยเท้าที่พบหน้าขอนไม้ล้มบริเวณหน้าหาดทรายรี เพื่อเชิญตัวนำส่งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานและทีมแพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ ถ่ายภาพวัดรอยเท้าและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจสอบ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตรวจสอบไปแล้วประมาณ 200 คนแต่ยังไม่มีรายใดที่ดีเอ็นเอตรงกับผู้เสียชีวิตและก้นบุหรี่ที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งยังมีตัวอย่างดีเอ็นเอที่ส่งไปรอผลการตรวจอีกกว่า 100 คน
แบ่งผู้ต้องสงสัยเป็น4กลุ่ม
สำหรับการสืบสวนหาตัวคนร้ายตามแนวทางข้อสันนิษฐาน มีผู้ต้องสงสัย 4 กลุ่มประกอบด้วย ผู้ต้องสงสัยชุดแรกเป็นแรงงานต่างด้าวตามลักษณะการก่อเหตุ ผู้ต้องสงสัยชุดที่ 2 กลุ่มนักท่องเที่ยวชายชาวต่างชาติด้วยกันจากข้อสงสัยความหึงหวงของพวกรักร่วมเพศ ผู้ต้องสงสัยชุดที่ 3 การทะเลาะวิวาทของผู้เสียชีวิตในสถานบันเทิงจากการเปิดเผยข้อมูลทางเฟซบุ๊กของนักท่องเที่ยวชาวสก็อตแลนด์ และผู้ต้องสงสัยชุดที่ 4 จากผู้นำท้องถิ่นเจ้าของรีสอร์ทและสถานบันเทิง ซึ่งทั้งหมดยังไม่พบหลักฐานชัดเจน
พอใจภาพรวมการสืบสวน
พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า ภาพรวมการสืบสวนเป็นที่พอใจมากซึ่งได้พยายามสืบสวนตามข้อมูลที่แต่ละชุดได้มาและได้พยานหลักฐานเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งปัญหาอุปสรรคล่าช้ามีบ้างเหมือนกับเรื่องคดีทั่วไปที่มีความยากง่ายต่างกันไม่อยากให้คิดว่าเป็นปัญหาและให้ความมั่นใจว่า ตำรวจกำลังทำงานเต็มที่ สำหรับแนวทางการเก็บดีเอ็นเอนั้น ได้ยึดหลักของกฎหมายไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล จะดำเนินการกับผู้ที่มีความใกล้เคียงกับหลักฐานที่ได้มาและมีน้ำหนักเพียงพอ ไม่ใช่จะตรวจใครก็ได้
ผบช.ภ.8เผยคดีคืบกว่า80%
พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) กล่าวว่า ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในวันและเวลาที่เกิดเหตุคืบหน้าไปมากแล้ว มีพยานหลักฐานข้อมูลกว่า 80% แต่ยังไม่พบว่ามีพยานหลักฐานที่เกี่ยวโยงไปถึงผู้ก่อเหตุ และยังไม่มีการออกหมายจับ หรือแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด และในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการตั้งสถานีตำรวจภูธรบนเกาะเต่า ซึ่งตนได้นำเรียนเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่หลบหนีมากบดานอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบุตรชายของ นายวรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือผู้ใหญ่วอนั้น ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เกาะเต่าช่วงวันที่เกิดเหตุ จึงไม่มีน้ำหนักทางคดี
พบข้อมูลสำคัญให้รายงานส่วนกลาง
รายงานข่าวแจ้งว่า หน้าที่หลักของชุดสืบสวนกองบังคับการปราบปราม ยังคงเป็นการหาข่าวบุคคลต้องสงสัย เพื่อที่จะเชิญตัวมาตรวจสอบดีเอ็นเอเหมือนเดิม ซึ่งในส่วนการสืบสวนหลักจะเป็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 อย่างไรก็ตาม การแบ่งงานขณะนี้ ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง ได้มีการเปลี่ยนแนวทางในการทำงานคือ หากชุดสืบสวนใด หาข้อมูลที่น่าสนใจได้มา ก็ให้รายงานมายังส่วนกลาง เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการหาตัวคนร้าย ส่วนการแบ่งงานก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ละภาคส่วนจะทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
เริ่มนับหนึ่งใหม่เป็นรอบที่4
รายงานข่าวแจ้งว่าการเริ่มต้นทำการสืบสวนใหม่ในครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยสืบสวนครั้งแรกพุ่งเป้าไปที่แรงงานต่างด้าว สืบสวนครั้งที่ 2 ทิ้งน้ำหนักไปที่คนต่างชาติด้วยกัน และครั้งที่ 3 มุ่งไปที่เจ้าของบาร์เบียร์และเจ้าของรีสอร์ทในพื้นที่เกาะเต่า แต่พยานหลักฐานไม่ได้เชื่อมโยงถึงบุคคลดังกล่าว ทำให้ตำรวจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกรอบ โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้ต้องสงสัยรายใหม่ และเชื่อมั่นว่าคนในพื้นที่อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์นี้ด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่ชี้ชัด ต้องทำการประมวลพยานหลักฐานที่ได้มาให้รอบคอบมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจดำเนินการหลากหลายรูปแบบ
พบพยานปากสำคัญเห็นนาทีสังหาร
ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจากชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวว่า ได้พบพยานปากสำคัญซึ่งอ้างว่าเห็นเหตุการณ์ในช่วงก่อนและระหว่างที่คนร้ายลงมือสังหารผู้ตายทั้ง 2 คน โดยระบุว่าผู้ที่ลงมือเป็นชาวต่างชาติ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง พล.ต.ท.ปัญญา มาแม่น ผบช.ภ.8 ยอมรับว่า ทีมคลี่คลายคดีได้พูดคุยในเบื้องต้นกับพยานรายนี้แล้ว โดยได้สอบปากคำไปแล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างการตรวจทานว่าคำให้การมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม ยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานอื่นๆ ให้รอบคอบเสียก่อนจึงจะสามารถระบุได้ชัดเจน
ผวจ.สุราษฎร์สั่งล้อมคอก
วันเดียวกัน นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผวจ.สุราษฎร์ธานี ได้เดินทางลงพื้นที่เกาะเต่า เพื่อติดตามความคืบหน้าการคลี่คลายคดี พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองที่ช่วยระดมกำลังค้นหาพยานหลักฐาน ทั้งนี้ ทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ได้เร่งรณรงค์และฟื้นฟูการท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว โดยมีมาตรการในระยะเร่งด่วน อาทิ จัดส่ง อส.จำนวน 50 นายเข้าพื้นที่ดูแลบริการนักท่องเที่ยว และเร่งติดตั้งป้ายเตือนในจุดเสี่ยง ติดตั้งกล้อง CCTV จัดตั้งอาสาสมัครดูแลความปลอดภัยชายหาด และติดไฟฟ้าในจุดเสี่ยงต่างๆ
“บิ๊กป้อม”โต้คดีอืด-ทำงานเป็นระบบ
ทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า ความจริงแล้วทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมได้หมดแล้ว แต่ว่ามีการให้ข่าวสับสนกรณีผู้มีอิทธิพล ทั้งนี้ มีการส่งตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนลงไปหาตัวคนร้าย และทุกฝ่ายเร่งรัดดำเนินการตลอด โดยเฉพาะ พล.ต.อ.วัชระพล ประสานราชกิจ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรก.ตร.) ได้รายงานความคืบหน้าโดยตรงกับตนโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. และได้ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะจับตัวคนร้ายให้ได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งเวลานี้ก็ได้พยายามจำกัดทั้งพื้นที่และคน เราไม่ได้ทำไปเรื่อยอย่างที่พูดกัน เพราะต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ
สั่งติดกล้องทั่วปท.-ลั่น2เดือนเห็นผล
“ในวันเกิดเหตุเป็นพื้นที่ที่มืดมาก กล้องวงจรปิดตรงนั้นมันจับไม่ถึง ดังนั้นผมจึงสั่งการไปทั่วประเทศแล้วว่า ต้องให้มีแสงสว่างเพียงพอ โดยเฉพาะ ในพื้นที่กรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ต้องมีแสงสว่างให้เพียงพอ และต้องมีกล้องวงจรปิดให้หมดทั่วประเทศ โดยทางกระทรวงมหาดไทย กทม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รับไปดำเนินการ และผมมั่นใจว่าภายใน 2 เดือนจะชัดเจนขึ้น” พล.อ.ประวิตร กล่าว
“บิ๊กตู่”ขออย่าช่วยสื่อนอกขยายความ
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นิตยสารไทม์ออกมาโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า สื่อก็อย่าไปช่วยเขาโจมตี เราก็รู้อยู่ว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายนัก เพราะเป็นพื้นที่เกาะ และใช้เรือ ระหว่างวันมีคนสัญจรไปมา 3-4 พันคน ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตามทั้งหมด ซึ่งจะต้องรู้ให้ได้ ถ้าเร่งรัดมากๆ จะผิดตัวและมีปัญหา ตอนนี้เราใช้ทั้งนิติวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ว่าจะจับแพะไม่ได้ เมื่อตรวจดีเอ็นเอแล้วไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ตอนนี้มีหลายคดีที่ยังจับผู้ร้ายไม่ได้ แต่คดีนี้เราพยายามกวดขันทุกวัน นิตยาสารต่างประเทศพูดอะไรมาก็อย่าไปขยายความให้เขา เพราะประเทศชาติมันเสียหาย เราก็จะต้องมาแก้ของเรา ถ้าเราไม่แก้กันเองและใครจะมาแก้ นิตยสารไทม์จะมาแก้ให้หรือไม่
ระบุต้องให้เกียรติคนทำงาน
“วันนี้ชอบไปรับอำนาจคนอื่นมา ตำรวจมี 4 แสนกว่าคน ท่านบอกว่าตำรวจไม่ได้เรื่อง ถามว่าจะมีกำลังใจทำงานหรือไม่ คดีอื่นๆ อีกเท่าไหร่ เฉพาะคดีนี้คดีเดียวกรมตำรวจเสียหายทั้งกรมตำรวจเลยหรือเปล่า มันก็ไม่ใช่ พูดอะไรจะต้องให้เกียรติคนที่ทำงานบ้าง คนทำงานดีก็มี คนไม่ดีมันก็มี ผมไม่ได้ปกป้องคนไม่ดี ถ้าเราไปทำองค์กรให้เสียหาย ต่อไปเขาจะทำงานหรือไม่ เรากำลังจะพัฒนาปรุงปรุงแก้ปัญหาปฏิรูป ก็จะแก้ปฏิรูปตำรวจก็บอกว่าไม่สำเร็จ ก็มาดูถูกกันตั้งวันแรก คนไทยดูถูกคนไทยด้วยกันแล้วมันจะทำอะไรสำเร็จ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
ลั่นรับไม่ได้ ดูถูกตำรวจทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สื่อมวลชนก็มีความหวังดีต่อประเทศชาติเหมือนกัน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วิธีการของสื่อพูดให้ดีกว่านี้หน่อย ตนรับไม่ได้ตรงที่ท่านมองดูถูกคนไปหมดแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นตำรวจมา 30 ปี ป้า (นางยุวดี ธัญสิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโส) เคยไปสอบสวนใครเหมือนที่ตำรวจทำหรือไม่ เคยไปเรียนที่สก็อตแลนด์ยาร์ด หรือ เอฟบีไอ ถ้ามองคนแบบนี้อยู่กันไม่ได้ ทะเลาะกันแบบเดิม
ต่างฝ่ายต่างระบุต้องปรับตัว
นางยุวดีจึงกล่าวต่อว่า นโยบายของนายกรัฐมนตรี ไม่เอาการเมืองเข้าไปแทรกแซงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การเมืองตรงไหน นางยุวดีจึงตอบว่า ผบ.ตร.คนใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้อนกลับว่าว่า เขาเป็นใคร นางยุวดีก็ระบุว่า ก็เดินตามก้นนักการเมืองมาตลอดชีวิต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันก็เดินตามตูดทุกคน ตนเห็น ป้า(นางยุวดี) ก็เดินตามเขา นางยุวดีจึงตอบว่า เป็นแค่นักข่าว ไม่เคยตามใคร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เห็นว่าตามเขา เป็นนักข่าวก็ตามไง นางยุวดีได้กล่าวตอบว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมีปรับตัว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็จะต้องปรับทั้งสองฝ่าย ปรับให้ตนด้วย อย่าให้ตนปรับคนเดียว วันนี้ตนยังไม่ได้โมโหเลย ถ้าโมโหแรงกว่านี้
ยกมือไหว้“เจ๊ยุ”ยันไม่ได้โกรธ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าวจบ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวติดตลกว่าวันนี้อยากจะโดนอะไรอีก แค่นี้ก็พูดเล่น ยังจะไปเขียนตลกอยู่นั่น หลังจากนั้นได้ยกมือไหว้ นางยุวดี พร้อมกล่าวว่า “พี่ขอโทษ ไม่ได้เสียงดัง” ทำให้นางยุวดีบอกว่าขอให้นายกรัฐมนตรีใจเย็นๆ นายกรัฐมนตรีจึงตอบกลับมาว่า “โอ้ยนี่เย็นสุดแล้ว ผมไม่โกรธ” นางยุวดีจึงกล่าวว่า ให้เกียรตินายกฯตลอด พล.อ.ประยุทธ์ก็ตอบพร้อมกับยิ้มว่า ขอบคุณมาก รู้ว่าให้เกียรติตน ไม่ได้มีอะไร เพียงแต่บางครั้งต้องทบทวนว่าเขียนแบบนี้จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ถ้าไม่ได้ประโยชน์อย่าไปทำเลย และยิ่งไปขยายความต่างประเทศ เหมือนกับเราไปเข้าทางเขาหมด เพราะเขาต้องการดิสเครดิตเราอยู่แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี