จากสถิติการนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรของประเทศไทยในปี 2554 พบว่า มีมูลค่าการนำเข้าเป็นจำนวนมากกว่า 22,034 ล้านบาท ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเกษตรกรของไทยมีปริมาณการใช้สารเคมีทางการเกษตรต่อไร่เพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าสารเคมีทางการเกษตรจำพวกปุ๋ยจะเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืชอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องความเสียหายต่อผลผลิต ทำให้ผลิตภาพทางการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศแต่การใช้สารเคมีที่มากเกินความจำเป็น และไม่ถูกต้องเหมาะสมก็จะทำให้เกิดผลกระทบด้านต่างๆที่สำคัญทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรดิน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญทางการเกษตร ทำให้ดินเสื่อมโทรม ขาดอินทรียวัตถุ ขาดความอุดมสมบูรณ์ ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร
นายสมโสถติ์ ดำเนินงาม ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กล่าวว่า ปัจจุบันกรมพัฒนาที่ดินได้มีนโยบายให้มีการจัดตั้งเป็นธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ขึ้น โดยการน้อมนำเอาสูตรปุ๋ยอินทรีย์ของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงพระราชทานให้กรมพัฒนาที่ดินนำมาเผยแพร่และส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นา ในครัวเรือน และจากโรงงานอุตสาหกรรม มาฝากไว้ที่ธนาคาร ธนาคารจะทำการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ให้เกษตรกรมาเบิกถอนเอาไปใช้ประโยชน์ เมื่อวัสดุนั้นย่อยสลายเป็นปุ๋ยแล้ว หรือให้เกษตรกรกู้ยืมปุ๋ยจากธนาคารไปใช้แล้วใช้หนี้ด้วยวัสดุเหลือใช้จากไร่นาและโรงงานอุตสาหกรรมหรือปุ๋ยคอก เพื่อให้เกิดการผลิตและมีการนำไปใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง มีราคาถูก พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการเผาและปัญหาจากการกำจัดหรือทิ้งขยะในอนาคต
สำหรับธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ที่กรมพัฒนาที่ดินเข้าไปดำเนินการนั้น เป็นการนำโรงปุ๋ยอินทรีย์เก่าที่มีอยู่เดิมแล้วมาฟื้นฟูใหม่ให้กลายเป็นธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ โดยจะมีทั้งโรงขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และมุ่งเน้นให้เกษตรกรมารวมกลุ่มกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และร่วมกันออกกฎกติกา โดยมีเจ้าหน้าที่ทางสถานีพัฒนาที่ดินของแต่ละจังหวัดคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือ
นายสมโสถติ์ กล่าวอีกว่า ข้อดีของการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ก็คือ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ได้มากกว่าครึ่ง เกษตรกรสามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน อาทิเช่น จากปกติที่เกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดทุกปี แต่หากมีการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ เกษตรกรสามารถมาเบิกเมล็ดพันธุ์จากธนาคารไปใช้ก่อนได้ หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จก็นำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นมาคืนให้กับธนาคาร เพื่อให้เกษตรกรรายอื่นได้หมุนเวียนกันใช้ หรืออย่างน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยหมัก เกษตรกรอาจจะมาเบิกน้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยหมัก ที่ทำเสร็จแล้วพร้อมใช้จากธนาคาร โดยการนำเศษผัก วัสดุฟางข้าว เศษพืชที่เหลือๆในแปลงมาแลก เพื่อที่ธนาคารจะได้นำเศษผัก เศษพืช และวัสดุฟางข้าวเหล่านั้นไปทำน้ำหมักต่อไป ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีปุ๋ยอินทรีย์ใช้หมุนเวียนตลอดปี อีกทั้งโครงการนี้ถ้าสามารถรวมกลุ่มกันได้ก็จะทำให้โครงการมีความยั่งยืน ไม่ต้องพึ่งพาหน่วยงานรัฐอย่างเดียว เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
ล่าสุด กรมพัฒนาที่ดิน ได้ใช้สถานีพัฒนาที่ดินกำแพงเพชรเป็นพื้นที่นำร่อง ในการดำเนินการธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2557 จำนวน 87 แห่ง ทั่วประเทศ
สำหรับการดำเนินการดังกล่าว สถานีพัฒนาที่ดินกำแพงเพชร ได้นำเอาวัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล และโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลังที่มีอยู่ในจังหวัดกำแพงเพชรมากมาย และนำเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นา มาหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์ พด. 1 ให้เกิดการย่อยสลายก่อนนำไปใช้ประโยชน์ในไร่นา โดยใช้พื้นที่ศูนย์เรียนรู้ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงดาวล้อมเดือนจังหวัดกำแพงเพชร เป็นพื้นที่ดำเนินการ ซึ่งการบริหารงานนั้น จะมีคณะกรรมการบริหารงาน กำหนดให้มีการรายงานผลการดำเนินงานให้สมาชิกทราบในที่ประชุมทุกเดือน และจะต้องทำบัญชี รับฝาก ถอน การให้กู้ยืม การส่งใช้คืนต้นและดอกเบี้ย โดยให้หมอดินอาสาและเจ้าหน้าที่ของสถานีพัฒนาที่ดินตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการทุกเดือน รวมทั้งให้เทศบาลเทพนครให้การสนับสนุนการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์แบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ ธนาคารปุ๋ยหมัก ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์น้ำ(น้ำหมัก พด.2) ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์น้ำ(น้ำหมัก พด.7) และธนาคารเมล็ดพันธุ์พืชสด
“อยากเชิญชวนพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรที่ทำการเกษตร ปลูกข้าว ปลูกพืชไร่ หรือปลูกพืชผัก อยากให้เห็นความสำคัญของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์ช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างของดิน ทำให้ดินของเรามีความอุดมสมบูรณ์อยู่ได้อย่างยั่งยีน ถ้าหากพี่น้องเกษตรกรหันมาทำปุ๋ยอินทรีย์กันมากขึ้น ก็จะทำให้ลดขยะในครัวเรือน เอาสิ่งที่เราเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์มาทำให้เกิดประโยชน์ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง อีกทั้งเกษตรกรก็จะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ และที่สำคัญผลผลิตที่ได้จะมีความปลอดภัย ผู้บริโภคก็ปลอดภัย” นายสมโสถติ์ กล่าวทิ้งท้ายในที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี