จากการที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินจัดทำ “โครงการณรงค์และจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา” ขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ โดยน้อมนำแนวพระราชดำริ “ปุ๋ยหมักสูตรพระราชทาน” มาดำเนินการและเผยแพร่ให้เกษตรกรนำไปใช้ในพื้นที่ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และเป็นการช่วยกันลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอีกทางหนึ่งนั้น กรมพัฒนาที่ดินได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ริเริ่มในการจัดตั้งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่มีอยู่เดิมมาปรับปรุง ฟื้นฟูให้เป็นธนาคารปุ๋ยอินทรีย์
ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดิน น้ำ พืช เกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน หมู่ที่ 9 ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เป็นอีกหนึ่งแห่งที่กรมพัฒนาที่ดินได้เข้าไปจัดตั้ง ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ) ขึ้น ภายในศูนย์เรียนรู้ฯ เพื่อให้เกษตรกรหันมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น เป็นการช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมี หรือใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม
นายมนัส พุ่มมะปราง ประธานศูนย์เรียนรู้การพัฒนาที่ดิน น้ำ พืช เกษตรอินทรีย์วิถีชุมชน กล่าวว่า โดยส่วนตัวตนได้ทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองมากว่า 10 แล้ว เนื่องจากเห็นประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์ตรงที่สามารถช่วยปรับปรุงบำรุงดินได้ดีมาก โดยเฉพาะดินที่มีสภาพเสื่อมโทรม จะเห็นได้ชัดเจน ซึ่งก่อนที่จะหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์นั้น เคยใช้ปุ๋ยเคมีในการทำนามานาน เมื่อนำดินไปตรวจ พบว่า อินทรียวัตถุในดินมีน้อยมาก มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่หลังจากหันมาทำนา โดยการหมักฟางข้าวและใช้ปุ๋ยอินทรีย์ด้วย ประมาณ 5-6 ครั้ง อินทรียวัตถุเพิ่มขึ้นเป็น 3-4 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนได้เป็นอย่างมาก จากเดิมที่ใช้ปุ๋ยเคมีลงทุน 4,500-5,500 บาทต่อไร่ แต่หลังจากหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ลงทุนเพียง 3,000 บาทต่อไร่เท่านั้น
สำหรับธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ) ได้รับความร่วมมือจากหมอดินอาสาในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมทั้งเกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างดี ซึ่งธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าว มุ่งเน้นให้เกษตรกรนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้ในไร่นา ในครัวเรือน หรือโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งในพื้นที่จะมีโรงงานผลิตกาแฟและโรงงานผลิตยาสมุนไพร ซึ่งจะมีทั้งกากกาแฟและกากสมุนไพรเหลือทิ้งมากมาย มาฝากไว้ที่ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์เพื่อผลิตปุ๋ยให้เกษตรกรมาเบิกถอนหรือแลกเปลี่ยนออกมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดการผลิตและมีการใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง เหมาะสม และมีราคาถูก พร้อมทั้งช่วยลดปัญหาการเผา และลดภาระในการกำจัด
ในส่วนของการบริหารงานธนาคารปุ๋ยอินทรีย์นั้น นอกจากจะมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ และหมอดินอาสาแล้ว ยังจะมีเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาที่ดินมาเป็นพี่เลี้ยงให้อีกด้วย เมื่อธนาคารได้ทำการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ออกมาแล้ว ก็จะเก็บตัวอย่างปุ๋ยอินทรีย์เหล่านั้นส่งไปวิเคราะห์ที่กลุ่มวิเคราะห์ดิน ของสำนักงานพัฒนาที่ดินสุพรรณบุรี เพื่อตรวจดูว่าปุ๋ยที่ผลิตออกมาแล้ว มีปริมาณธาตุอาหารและคุณสมบัติอื่นๆ เหมาะสมต่อการนำไปใส่ในพื้นที่เพาะปลูกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาปุ๋ยที่ผลิตได้มาตรฐานโดยผ่านการวิเคราะห์มาแล้วทั้งปุ๋ยผงและปุ๋ยเม็ด
“ธนาคารปุ๋ยอินทรีย์ที่กรมพัฒนาที่ดินฟื้นฟูขึ้นมาใหม่นี้ ถือว่ามีประโยชน์มาก แต่จำเป็นต้องมีการสร้างกลุ่มที่เข้มแข็งขึ้นมา เพื่อเป็นต้นแบบ ในการเชิญชวนเกษตรกรรายอื่นๆ ให้หันมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้กันมากขึ้น” นายมนัส กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี