“ลาวครั่ง” หลายคนที่ได้ยินอาจจะสงสัย หรือไม่ทราบว่าลาวครั่งคืออะไร
ลาวครั่งคือชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโคก หรือ “บ้านโคก” ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่งมีประวัติความเป็นมายาวนานจากประเทศลาว ในอาณาจักรหลวงพระบาง มีชนกลุ่มหนึ่งที่ตั้งหลักแหล่งในเขตเทือกเขามีชื่อเรียกว่า “ภูคัง” ก่อนที่จะเพี้ยนเป็น “ลาวครั่ง” หรือบางทีก็เรียกว่า “ลาวเต่าเหลือง”
เนื่องจากนิสัยของชาวลาว เขาชอบอยู่เป็นอิสระตามป่าเขา คล้ายกับลักษณะของเต่าภูเขาชนิดหนึ่งที่มีกระดองสีเหลือง นอกจากนี้ลาวครั่งในสมัยก่อนยังถูกเรียกว่า “ลาวขี้ครั่ง” โดยในอดีตสมัยรัชกาลที่ 3 ชาวลาวกลุ่มใหญ่ได้ถูกกวาดต้อนเข้ามาในสยาม กระจายตัวอยู่ในเขตภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคเหนือ ครั้นพอถึงในสมัยรัชกาลที่ 5 ชาวลาวครั้งที่อยู่ในนครปฐมได้อพยพขึ้นเหนือ มาตั้งรกรากอยู่ที่ อ.อู่ทอง ในปัจจุบัน เป็นชาวลาวครั่งแห่งบ้านโคก ในทุกวันนี้วิถีการดำเนินชีวิตของลาวครั่งที่นี้ คือ การทำสวนตามปกติ ทุกบ้านจะมีจักรยานในการใช้เพื่อบรรทุกผลผลิตจากไร่สวน และต้องปั่นจักรยานโบราณ เพราะเป็นจักรยานที่มีขนาดใหญ่มีที่นั่งที่บรรทุกของตอนท้ายกว้าง สามารถขนผลผลิตผลทางการเกษตรเพื่อไปขายได้ประมาณครั้งละ 100 กิโลกรัม
สำหรับใน ต.อู่ทอง ทั้งหมดมี 12 หมู่บ้าน มีชาวลาวครั่งอาศัยอยู่เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นคือหมู่บ้านดงเย็นที่ขึ้นชื่อเรื่องเกษตรอินทรีย์ จุดเด่นมีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดงเย็นเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) เป็นเครือข่ายการปลูกพืชผลทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ใช้น้ำหมักตามธรรมชาติ บ้านดงเย็นมีการปลูกผักสด ผลไม้ที่ปลอดสารเคมี และมีได้มีการพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้วิถีเกษตรแบบปลอดสารพิษ และยังมีการส่งเสริมให้คนในอู่ทองรับประทานผักสด ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ เดินตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พร้อมทั้งมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวจักรยานโบราณจากบ้านโคก มาเยี่ยมชมเกษตรอินทรีย์ที่บ้านดงเย็น รวมทั้งยังได้จับมือกับบ้านหนองเสือ ในการพัฒนาศักยภาพอาหารในพื้นถิ่นให้เป็นที่รู้จัก บ้านดงเย็นเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีอากาศเย็นที่สุดใน ต.อู่ทอง และมีชั้นดินและหินที่เหมาะสมที่จะทำการเกษตรได้เป็นอย่างดี
นายสิงห์ ลีสุขสาม ชาวลาวครั่ง กล่าวว่า ที่ดินนี้ตนได้เริ่มทำเกษตรอินทรีย์ตั้งแต่อายุ 19 ปี ปัจจุบันอายุ 57 ปี ก่อนหน้านี้ได้ทำเกษตรที่ใช้สารเคมี แต่ด้วยการที่เป็นภูมิแพ้จึงหันมาเปลี่ยนชีวิตตัวเองด้วยทำการเกษตรอินทรีย์แทน จากนั้นสุขภาพแต่เดิมที่เป็นภูมิแพ้ก็หาย และแข็งแรงขึ้น
“ตัวอย่างพ่อของผมนายนายอิน ลีสุขสาม อายุ 93 ปี บริโภคพืชผักที่ได้ปลูกเองด้วยเกษตรอินทรีย์ปัจจุบันยังแข็งแรงและออกไปเข้าสวนทุกวันเพื่อไปทำโน้นทำนี่”
เมื่อเห็นประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงหันมาทำเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อได้พัฒนาหมู่บ้านและเพื่อนบ้านในชุมชนได้มีอาชีพ จึงได้รับความร่วมมือจาก องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เข้ามาดูแลและให้คำปรึกษาทำให้ชุมชนเริ่มเห็นโอกาสในการพัฒนานำวิถีชีวิตมาปรับให้เป็นกิจกรรมในการท่องเที่ยว
พันเอก ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า ได้อนุมัติให้สำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองโบราณอู่ทองสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวด้วยการขี่จักรยานที่บ้านโคกแห่งนี้ เพราะเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่โดดเด่น อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายให้เมืองนี้เป็นเมืองต้นแบบของ “การเรียนรู้ที่มีชีวิต” เป็นวิถีชีวิตที่กินได้ เป็นวิถีของเมืองโบราณสถานโบราณวัตถุวัตถุอายุกว่า 2,000 ปี มีวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่าการเดินชมโบราณสถานซึ่งเป็นเพียงซากปรักหักพังเท่านั้น อีกทั้งเพื่อเพิ่มให้เกิดชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
โดยชุมชนได้ร่วมกับ อพท. พัฒนา 2 เส้นทางปั่นจักรยาน รวมระยะทางไม่เกิน 2 กิโลเมตร ได้แก่เส้นทางชมธรรมชาติ ปั่นจักรยานชมสวนผักและทุ่งนา และเส้นทางปั่นจักรยานชมวิถีชีวิตชุมชนลาวครั่งทั้ง 3 หมู่ ตลอดเส้นทางได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้าน และได้เห็นบ้านเรือนที่ปลูกตามวัฒนธรรมของลาวครั่ง รวมถึงธรรมชาติที่สวยงาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี