กระแสเกษตรกรอินทรีย์ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภายในจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช. ) และรัฐบาล มีนโยบายให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยให้ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ แทนการใช้ปุ๋ยเคมี และใช้สารสกัดจากธรรมชาติแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ทำให้สารสกัดจาก "สะเดา" มีการพูดถึงอีกครั้ง แต่ก็มีข้อสงสัยว่า สารสกัดสะเดา จะใช้กำจัดศัตรูพืชได้จริงหรือ?
สะเดา ( Neem plant) เป็นพืชคุ้นชื่อของคนไทย จนคิดว่าเป็นพืชพื้นเมืองของไทย แต่จริงๆแล้วสะเดาเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Azadirachta indica มีประโยชน์นอกจากจะใช้ประโยชน์ด้านอาหารแล้ว สารสกัดจากสะเดายังมีฤทธิ์เป็นสารฆ่าแมลงอีกด้วย
ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีเกษตรกรนำเอาสารสกัดสะเดามาใช้ในการกำจัดแมลงศัตรูพืชต่างๆ มีทั้งประสบผลสำเร็จสามารถกำจัดแมลงศัตรูพืชนั้นๆได้ และไม่ล้มเลวหันกลับไปใช้สารเคมีอีกครั้ง นั้นก็เป็นเพราะเกษตรกรไม่ได้ศึกษาและทำความเข้าใจก่อน ที่จะนำไปใช้ เมื่อใช้ไม่ถูกต้อง หรือสกัดไม่ถูกวิธี ประสิทธิภาพในการป้องกัน และกำจัดแมลงของสารสกัดสะเดาก็ด้อยลงไปด้วย
นายวสันต์ มงคลลาภกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วสันต์โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสารสกัดจากสะเดา "นีม เพาเวอร์" กล่าวว่า การใช้สารสกัดสะเดามากำจัดแมลงศัตรูพืชนั้นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้มานาน จากการศึกษาค้นคว้าพบว่า เพราะสามารถกำจัดแมลงได้ดี โดยเฉพาะแมลงที่กินพืช ทั้งนี้เนื่องจากในสะเดานั้นมีสารกลุ่ม อะซาไดแรกติน ซึ่งมีผลออกฤทธิ์โดยตรงต่อระบบต่อมไร้ ท่อ หรือระบบฮอร์โมนของแมลง รวมทั้ง ยับยั้งการกินอาหารของแมลง สามารถขับไล่แมลงได้ และไม่พบสารตกค้าง มีความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การใช้สารสกัดจากสะเดากำจัดแมลงศัตรูพืชให้เกิดประสิทธิภาพนั้น มีปัจจัยมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มจากสารสกัดจากสะเดาต้องมีคุณภาพด้วย สารสกัดจากสะเดาที่เกษตรกรนำมาใช้ไม่ว่าจะซื้อมาหรือผลิตขึ้นใช้เอง จะต้องมีสารออกฤทธิ์ที่มีชื่อว่า อะซาไดแรกติน(Azadirachtin) ในสัดส่วนที่ไม่ต่ำกว่า 0.1% และผลหรือเมล็ดของสะเดาที่นำมาใช้สกัดจะต้องไม่ขึ้นรา และไม่ควรเก็บไว้เกินกว่า 1 ปี โดยนำมาบดให้ละเอียดและนำไปแช่น้ำ (1 กก./100 ลิตร) หากเกษตรกรทำใช้เองจะต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ชนิดของแมลงศัตรูพืชเกษตรกรจะต้องให้ความสำคัญเช่นกัน โดยเป็นกลุ่มที่สารสกัดสะเดาให้ผลเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ หนอนชอนใบหนอนกระทู้ หนอนหลอดหอม หนอนใยผัก หนอนม้วนใบ หนอนบุ้ง หนอนแก้วส้ม หนอนหัวกะโหลก เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไก่แจ้ เป็นต้น ส่วนหนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะต้นกล้าถั่ว หนอนเจาะดอกกล้วยไม้ หนอนเจาะยอดคะน้า หนอนเจาะถั่วฝักยาว หนอนเจาะมะเขือ แมลงวันทอง เพลี้ยจั๊กจั่น เพลี้ยไฟ แมลงหวี่ขาว ไรแดง สารสกัดสะเดาใช้ได้ผลปานกลางจำเป็นต้องใช้เวลาในการพ่นนานกว่ากลุ่มแรก สำหรับแมลงศัตรูพืชที่สารสกัดสะเดาไม่สามารถออกฤทธิ์กำจัดได้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นตัวเต็มวัยของแมลงศัตรูพืชทุกชนิด ดังนั้นควรจะกำจัดก่อนที่จะช่วงตัวเต็มวัย
วิธีการพ่นสารสะเดาควรผสมน้ำที่มีค่าความเป็นกรดอ่อนๆหรือเป็นกลาง เพื่อให้กำจัดแมลงนั้นๆ ให้ผลเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการพ่นสารสกัดสะเดาให้ได้ผลดี ควรจะพ่นเพื่อเป็นการป้องกันมากกว่าการกำจัด โดยระยะเหมาะสมที่สุดคือ การเริ่มพ่นเมื่อหนอนออกจากไข่ และไม่ควรปล่อยให้แมลงศัตรูพืชมีจำนวนมากจนถึงขั้นที่ยากแก่การควบคุม
ระยะเวลาการพ่นสารสกัดสะเดาก็มีผลต่อการกำจัดแมลงศัตรูพืชเช่นกัน เนื่องจากคุณสมบัติของสารสกัดสะเดาที่ออกฤทธิ์เป็นสารไล่แมลง ดังนั้นการพ่นในระยะเริ่มแรกจะเป็นการไล่แมลงออกจากแปลงพืชผัก และควรจะพ่นสารนี้ในช่วงเย็น เนื่องจากแมลงส่วนใหญ่จะออกกัดกินพืชผักในเวลาเย็น นอกจากนั้น สารสกัดสะเดาที่พ่นใหม่ๆ ยังไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนจากแสงแดด ทำให้แมลงได้รับสารนี้ได้มากขึ้นด้วย
อาจจะมีคำถามว่า หากมีการใช้สารสกัดสะเดาในปริมาณที่มากจะลดต้นทุนการผลิตได้อย่างไร และเมื่อเทียบกับการใช้สารเคมีแล้วต้นทุนต่ำหรือสูงกว่า?
อาจารย์พนา จันทร์ศิริ อาจารย์วิทยาลัยเทคนิคลพบุรี และที่ปรึกษาบริษัท วสันต์โปรดักส์ จำกัด ซึ่งได้ศึกษา ค้นคว้า และทดลองเกี่ยวกับการใช้สารสกัดสะเดา กล่าวว่า หากเกษตรกรผลิตสารสกัดสะเดาใช้เองต้นทุนจะถูกกว่าสารเคมี แต่ถ้าซื้อสารสกัดสะเดามาใช้นั้น ราคาจะใกล้เคียงหรือถูกกว่าสารเคมีจำกัดแมลงศัตรูพืชเล็กน้อย แต่ถ้าใช้ในระยะยาวแล้วจะถูกและคุ้มค่ากว่า ทั้งต้นทุนการผลิตก็จะลดลง ที่สำคัญคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมก็จะดีขึ้นด้วย
การใช้สารกำจัดแมลงศัตรูพืชที่สกัดจากธรรมชาติ อย่างเช่นสะเดา จะไม่ได้ให้ผลเร็ว ทันใจเหมือนดั่งสารเคมี ทำให้เกษตรกรบางรายด่วนสรุปว่าสารสกัดสะเดาใช้ไม่ได้ผล ไม่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรจะต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า การพ่นสารสกัดสะเดาเพียง 1-2 ครั้ง ยังไม่สามารถเห็นประสิทธิภาพของการป้องกันและกำจัดแมลงได้ชัดเจน ควรอดทนพ่นต่อให้มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะ การพ่นห่างกันทุก 5-7 วันต่อครั้งในช่วงเดือนแรก เนื่องจากแมลงศัตรูพืชที่กำลังระบาดอยู่ในแปลงพืชนั้น จะประกอบไปด้วยแมลงหลายระยะ เริ่มตั้งแต่ระยะไข่ จะถึงแม่ผีเสื้อตัวเต็มวัย ต่อในเดือนที่สอง ให้พ้น 10 วันต่อครั้ง เดือนที่สาม 15 วันพ่นครั้ง และพ่นไปเรื่อยๆ ติดต่อกันประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ระยะการพ่นก็จะเหลือเฉลี่ยประมาณ 10 กว่าครั้งต่อปีเท่านั้น
“จากการค้นคว้า และทดลองในแปลงของเกษตรกรพบว่าในระยะยาวนั้น สารสกัดสะเดาจะเป็นผลดีในแง่การประหยัดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน และที่สำคัญคือ ไม่มีสารพิษตกค้างในพืชผักและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม นับเป็นการถนอมชีวิตของทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค และที่สำคัญสารสกัดสะเดายังไม่ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศวิทยาอีกด้วย” อาจารย์พนา กล่าวยืนยัน
ขณะที่ นายสุทัศน์ เซ็นเสถียร เกษตรกร จังหวัดสระบุรี ผู้ใช้สารสกัดสะเดาในสวนลำไย และมะม่วงกว่า 30 ไร่ กล่าวว่า ผมได้ใช้สารสกัดสะเดาในการป้องกันจำกัดศัตรูพืชมาโดยตลอด ไม่ใช้สารเคมี หรือปุ๋ยเคมี เป็นสวนเกษตรอินทรีย์ ผลผลิตสวยงามไม่ต่างจากสวนที่ใช้สารเคมี แต่ไม่มีสารตกค้าง สามารถอยู่ในสวนได้ทั้งวันไม่เป็นอันตราย และที่สำคัญ หน่วยงานราชการเคยมีการประชุมสัมมนาเกษตรกรที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ได้มีการตรวจเลือดเกษตรกรที่ร่วมประชุมกว่า 500 คน ผมเป็น 1 ในไม่ถึง 50 คนที่ไม่มีสารพิษตกค้างในเลือด ที่เหลือมีสารพิษตกค้างในเลือดทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า สารสกัดสะเดาปลอดภัยต่อร่างกาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริงๆ
อย่างไรก็ตามการผลิตสารสกัดสะเดาให้มีคุณภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะยุ่งยากสำหรับเกษตร แต่การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สารสกัดสะเดาก็ใช่ว่าจะได้มาตรฐานทุกรายหรือทุกยี่ห้อ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตสารสกัดสะเดาเชิงพาณิชย์ในประเทศประมาณ 4 บริษัท เกษตรกรควรจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้รับทะเบียน "วัตถุมีพิษ" หรือ ที่เกษตรกรมักจะเรียกว่า "ทะเบียนยา" จากกรมวิชาการเกษตรเท่านั้นเพราะคุณภาพจะได้มาตรฐานเหมือนกันทุกขวด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี