ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาเกษตรกรแห่งชาติ พร้อมทั้ง สมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย องค์กรผู้บริโภค คณะกรรมการอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และมูลนิธิชีววิถีจัดเวทีเสวนาใหญ่ “เดินหน้าจีเอ็มโอ บรรษัทกำไร ประชาชนไทยล่มจม?” ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
เวทีนี้ถือเป็นเวทีของฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและผู้บริโภคซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบโดยตรง หากรัฐบาลซึ่งมี “คณะทำงานศึกษาแนวทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและผลิตภัณฑ์มาใช้ในประเทศไทย”ชงให้เปิดไฟเขียวทดลองพืชจีเอ็มโอในระดับไร่นาบ้านเราได้ ตามที่มีการผลักดันกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันจากกลุ่มบรรษัทเมล็ดพันธุ์ในขณะนี้ จึงขออนุญาตใช้พื้นที่ตรงนี้นำมารายงานให้ท่านผู้อ่านทราบอีกต่อหนึ่ง เพราะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักค่อนข้างน้อยมาก
คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถีเปิดประเด็นเกี่ยวกับ “กระแสโลก” ที่มีต่อพืชจีเอ็มโอ โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปและสหรัฐ ซึ่งทางกลุ่มบรรษัทเมล็ดพันธ์มักใช้เป็นข้ออ้างเสมอเรื่องการสนับสนุนปลูกพืชจีเอ็มโอทางการค้น แต่โดยข้อเท็จจริงกลับพบว่า จำนวนประชาชนผู้บริโภคเห็นด้วยกับการปลูกพืชดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่องเช่น ในกลุ่มสหราชอาณาจักรที่เมื่อปี 1996 เห็นด้วยถึง 52% ลดลงมาเหลือเพียง 44% ในปี 2010 ประเทศเยอรมนี เดิมปี 1996 เห็นด้วย 47% แต่เมื่อปี 2010 เหลือแค่ 22%
ขณะที่ยักษ์ใหญ่จีเอ็มโออย่างสหรัฐอเมริกา ก็ปรากฏกระแสดังกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีอย่างน้อย 3 รัฐ คือ รัฐเมน คอนเนตทิคัต และเวอร์มอนต์ มีมาตรการบังคับให้ติดฉลากผลิตภัณฑ์ที่มาจากจีเอ็มโอ เหมือนกับอีก 64 ประเทศทั่วโลกที่กำลังเคลื่อนไหวให้มีการติดฉลากให้ทราบ “ที่มา” ของอาหารด้วยเช่นกัน
ด้านคุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ชี้ว่า การติดฉลากในผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอนั้นต้องทำให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม เห็นได้ง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกตัดสินใจ ดังนั้น คณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จึงต้องเร่งทบทวนและพิจารณาเรื่องการบังคับให้มีการติดฉลากอาหารจีเอ็มโออย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องผลักดันให้เกิดเครื่องมือภาคประชาชน นั่นคือ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งกลไกนี้จะทำให้ความเห็นของเรามีความหมาย โดยทำอย่างไรให้ได้รับการนำไปเป็นนโยบาย มาตรการ หรือกฎหมาย อย่างจริงจัง
นอกจากนี้ คุณสารี ยังวิพากษ์ไปถึงความ “ย้อนแย้ง” ของระดับนโยบายว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์มียุทธศาสตร์ในการ
ขับเคลื่อนประเทศไปสู่ศูนย์กลางเกษตรอินทรีย์ในอีก 5 ปีข้างหน้า แต่แล้วจู่ๆ กลับมามีการผลักดันให้มีการทดลองจีเอ็มโอ ซึ่งถือเป็นการ “วิ่งสวนทาง” กันในเชิงนโยบายอย่างสิ้นเชิงว่า ตกลงแล้วประเทศเราจะไปทางไหนแน่
ขณะที่ คุณอุบล อยู่หว้า ผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชี้ว่า การปลูกพืชจีเอ็มโอสะท้อนให้เห็นความอ่อนแอของรัฐในการกำกับพฤติกรรมกลุ่มทุน เสมือนการปิดกั้นโอกาสทางอาชีพของเกษตรกร เปรียบได้กับกรณีห้างขายปลีกมาดำเนินธุรกิจขายอาหารตามสั่ง ซึ่งแม้จะเป็นทางเลือกแต่ก็เป็นการตัดโอกาสการทำมาหากินของชาวบ้าน ฉะนั้นภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลที่หายใจเข้าออกเป็นความมั่นคง จะหันมามองจีเอ็มโอเป็นความมั่นคงของชาติหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือเป็นการทำลายแบบแผนการผลิตของเกษตรกรรายย่อย เพราะอย่าลืมหน่วยผลิตของไทย คือ ครอบครัว แต่ขณะนี้กลับใกล้ถูกทำลาย และเปลี่ยนเป็นบรรษัทแทน
ส่วน ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ บริษัทผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน แชร์ประสบการณ์ว่า เดิมเคยสนับสนุนการปลูกพืชจีเอ็มโอ แต่เห็นว่าอนาคตอาจทำให้เกิดการผูกขาดได้ ดังกรณีฟิลิปปินส์ที่กลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีล้มหายไป จึงเริ่มกลับมาคัดค้านจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ที่ผ่านมามีการส่งออกเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอ 1.4 พันล้านบาท/ปีซึ่งรายได้ส่วนใหญ่ตกเป็นของกลุ่มทุนข้ามชาติ เหลือตกถึงมือคนไทยเพียง 300-400 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวโพดหวานกระป๋องที่มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท/ปี และเม็ดเงินอยู่ในมือคนไทยทั้งหมด
รศ.ดร.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์ กล่าวว่า บางครั้งผู้มีอำนาจมักฟังที่ปรึกษาหรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งบุคคลเหล่านั้นมีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ ทำให้มีแนวคิดจะปลูกพืชจีเอ็มโอ ซึ่งทราบกันดีจะมีปัญหาเกิดขึ้นตามมา ด้วยพืชเหล่านี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อขายสินค้าราคาถูก ไม่ใช่ราคาแพง ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจะอยู่ไม่ได้ เพราะมีพื้นที่เกษตรกรรมน้อย หากไทยเลือกเปิดเกมจีเอ็มโอจะถือเป็นการเดินที่ผิดมหันต์ จนให้อภัยไม่ได้
เพราะการขายของถูกจะทำให้เกษตรกรรายย่อยหมดประเทศ และหากยังต้องการยกระดับบริษัทรายใหญ่ถือเป็นการทำลายชาติให้ย่อยยับ
มะลิลา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี