รมช.ชี้แนวทางปฏิรูปอุดมศึกษาไทย
1-2-3 ยกเลิกหลักสูตรเด็กตกงาน
หยุดค่านิยมเสื้อเบอร์เดียวใส่ทั้งประเทศ
หลังจากมีการกล่าวถึงการศึกษา และการปฏิรูปการศึกษาของไทย ที่ไม่ดีนัก ทำให้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตื่นตัวที่จะหาข้อบกพร่องและพัฒนากันมาอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง
หนึ่งในหลายๆ องค์กร ที่ตื่นตัวในเรื่องนี้เช่นกันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการสมาคมสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทย
(ASAIHL : สออ.ประเทศไทย) ครั้งที่ 33 เพื่อนำเสนอผลการศึกษา ค้นคว้าและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักวิชาการ และคณะผู้บริหารคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ
ในงานนี้ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “Education Reform for Learning in the 21st Century” ถึงการปฏิรูปการศึกษาที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ว่า
“หากเรายังมองว่าตัวเราได้อะไร เสียอะไร แต่ไม่เคยมองว่าเด็กจะขาดอะไรแล้ว เมื่อไรก็ปฏิรูปไม่ได้ เราต้องมองที่ประเทศ และมหาวิทยาลัยเป็นหลักแล้วค่อยคิดถึงตัวเอง ทั้งความคิด ค่านิยม โลกทัศน์ และวิชาการ จึงจะเกิดการปฏิรูปได้ ผู้ที่อยู่ในสังคมการศึกษามายาวนานแม้จะเห็นปัญหามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่กลับไม่เคยมองว่าปัญหาของอนาคตเป็นอย่างไรถามว่าเราเคยตั้งสมมุติฐานว่าการศึกษาที่สูงขึ้น สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริงหรือไม่ เพราะตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
พบว่า จากสภาพการศึกษาไทยหากคิดเฉลี่ยเด็ก 10 คนที่เดินเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่หลุดไปกลางทางด้วยวุฒิ ม.3
หรือ ม.6 ถ้าหาก 6 คน ออกไปเพื่อประกอบอาชีพรับค่าแรงขั้นต่ำ อีก 4 คน เดินเข้าประตูอุดมศึกษา อีกตัวอย่างหนึ่ง หากสามคน หลุดออกมา แต่อีกหนึ่งคน จบการศึกษา สิ่งที่เกิดขึ้นคือหนึ่งคนได้งานทำในปีแรก แต่อีกสองคนตกงาน และถ้าถามประเทศไทยมีงานอะไรรองรับให้กับเจ็ดคนที่หลุดออกไปก่อนหน้านั้นหรือไม่ และพวกเขาสามารถกลับเข้ามาในระบบอีกครั้งได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ ฉะนั้นจึงต้องถามกันต่อว่าระบบการศึกษาไทยจัดขึ้นเพื่อเด็กหนึ่งคนที่จบมามีงานทำ หรือเพื่อเด็กทั้งสิบคนกันแน่!! ซึ่งข้อบกพร่องนี้ทั้งสังคมและมหาวิทยาลัยจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน”
ดังนั้น คนในงานจึงได้ยิน รัฐมนตรีดร.กฤษณพงศ์ กล่าวต่อไปอีกว่า “การจะปฏิรูปอุดมศึกษาเป้าหมายหลักคือ เรียนจบมามีงานทำ แต่ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยไทยไม่เคยติดตามถึงตัวเลขการมีงานทำของนักศึกษาอย่างจริงจัง รวมถึงงานที่ทำหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งในแต่ละปีมีการสูญเปล่าทางการศึกษาค่อนข้างมากโดยเฉพาะงบประมาณ ส่วนหนึ่งจากพ่อ-แม่
เงินจากที่ต้องนำมาใช้ทั้งหมด ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นเงินกู้จากกรอ. หรือ กยศ. ตลอดจนเวลาที่เสียไประหว่างเรียนแต่จบออกมาแล้วกลับไม่มีงานทำ และเมื่อครูอาจารย์มีรายได้ แต่ลูกศิษย์กลับตกงาน พ่อแม่ต้องเป็นหนี้เพราะส่งลูกเรียนนั้น หมายความว่าอย่างไร ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมาทบทวนเรื่องดังกล่าว เพราะการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ การเติบโตไปพร้อมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาเด็กเกิดใหม่ลดลงเหลือแค่ปีละ 8.5 แสนคน ขณะที่ประเทศไทยมีประชากรราว 70 ล้านคน และกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย และยังจะมีสัดส่วนคนสูงวัยเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าในอนาคต ปัจจุบันประเทศไทยมีคนสูงวัยที่มีอายุเกิน 60 ปี อยู่ประมาณ 6-7 ล้านคน แต่ในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมีคนสูงวัยอายุเกิน 60 ปี ประมาณ 20 ล้านคน เมื่อเด็กเกิดน้อยลง คนวัยแรงงานมากขึ้นคนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น ก็จะก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมค่อนข้างสูงโดยเฉพาะวัยแรงงาน จึงเป็นคำตอบว่าทำไม productivity ของประเทศไทยยังไม่สูง ก็เพราะฐานการศึกษาเรายังใช้ไม่ได้ เราจะทำอย่างไรเมื่อกำลังคนของเราที่เป็นวัยแรงงานค่อนข้างคงที่และกำลังแก่ลง
ดังนั้น จึงต้องลงลึกสำหรับแผนการ re to retrain คนวัยทำงานที่หลุดจากระบบไปกลางคันให้กลับเข้าสู่ขั้นตอนการเรียนรู้และฝึกทักษะอาชีพ เพราะถ้าเรายังไม่เตรียมพร้อมสำหรับอนาคตสังคมไทยจะยังคงเป็นสังคมที่แก่ จน และโง่ ดังนั้น เราต้องมาคิดกันว่าควรออกแบบอุดมศึกษาเพื่อใคร เป็นโจทย์ที่เราต้องคิด ในเรื่องการปฏิรูปการศึกษาและปฏิรูปอุดมศึกษา จากเดิมที่เราเคยชินกับการสอนเด็กอายุ 18-22 ปี แล้วถ้าเราต้องมาสอนคนอายุ 30-50 ปี เราจะสอนยังไง สอนได้หรือไม่ แล้วใช้เทคโนโลยีอะไร
ดร.กฤษณพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไรหากเรายังไม่เลิกประเพณีรองเท้าเบอร์เดียว เสื้อเบอร์เดียวใส่กันทั้งประเทศ โจทย์ใหม่ของการศึกษาไม่ได้นำไปสู่วุฒิที่สูงขึ้น แต่การศึกษาต้องนำไปสู่การมีงานทำและชีวิตที่มั่นคง เราจะทำอย่างไรให้คนเก่งกลับมาพัฒนาพื้นที่ พัฒนาประเทศ ไม่ใช่เรียนเพื่อไปช่วยต่างชาติพัฒนาประเทศ ดังนั้น อุดมศึกษาต้องเปิดหลักสูตรที่ตรงกับพื้นที่มากขึ้น สมรภูมิใหม่นั้นใหญ่และซับซ้อนกว่าการสอบ O-Net, Pisa หรือการได้ปริญญา เพราะสมรภูมิใหม่ของการศึกษาคือการมีงานทำ เราตัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาด้วยการมีงานทำและการใช้ชีวิต ดังนั้นถ้าจะให้การศึกษากับคน ทุกคนต้องเข้ามามีส่วนร่วม
ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยดีตรงที่ให้โอกาสคนได้เข้าเรียน แต่สิ่งที่ยังไม่ดีคือคุณภาพการศึกษาที่ต่างแตกกันจนเกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข และการพัฒนาครูเป็นทางลัดที่สำคัญในการปฏิรูปการศึกษาไทย และทบทวนความรู้จากกระแสโลกมี 3 ใหม่ คือ กระบวนการเรียนรู้ใหม่ เพื่อเพิ่มทักษะการใช้ชีวิตในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 21 คือการออกไปเรียนนอกห้อง เนื้อหาความรู้ใหม่ เรียนรู้เพื่อเตรียมให้คนไปอยู่ในอนาคตที่ไม่แน่นอน เรียนรู้ที่จะมองเห็นอนาคตมากขึ้น เช่น เรื่องพลังงานที่กำลังจะหมด ภัยพิบัติ สื่อศึกษา และการจัดการใหม่ ที่รัฐบาลกลางไม่ควรมาจัดการเรื่องการศึกษาทั้งหมด แต่ควรเปิดใจให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องมาจัดการศึกษา ให้เป็นหลักสูตรเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่หายไปจากการบริหารจัดการของไทย
“สิ่งที่เราทำได้ทันทีอย่างแรกคือ ยกเลิกหลักสูตรที่ลูกศิษย์จบไปแล้วไม่มีงานทำ ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยจะมีรายได้ สองจัดทำหลักสูตรที่เชื่อมกับงาน ทำหลักสูตรทักษะต่างๆ ที่สถานประกอบการต้องการ สามจัดหลักสูตรสำหรับคนสูงวัยและแรงงาน ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องจับมือกับวิทยาลัยชุมชน อาชีวะ และศูนย์ฝึกอาชีพ เพื่อเราจะได้พัฒนาไปได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคนที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี