คน‘ปากช่อง’ร้องบิ๊กตู่
ล้ม‘มอเตอร์เวย์’
แฉโกงนักการเมือง
จ้องปั่นราคา‘ที่ดิน’
เลยยึดรีสอร์ท100ล.
‘ปราจีน’ฟันรุกป่า
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ตุลาคม ที่ศูนย์บริการประชาชน (ชั่วคราว) ทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงานคณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กลุ่มชมรมคนปากช่องต่อต้านมอเตอร์เวย์ นำโดย นางสารภี บุญประตูไชย เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อทวงถามความคืบหน้ากรณีการร้องคัดค้านโครงการก่อสร้างทางด่วนพิเศษหมายเลข 6 (มอเตอร์เวย์) สายบางปะอิน-นครราชสีมา โดยสนับสนุนโครงการรถไฟทางคู่กรุงเทพ-นครราชสีมาแทน ตามที่เคยมายื่นหนังสือไว้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
นางสารภี กล่าวว่า การก่อสร้างถนนสายนี้ไม่คุ้มค่าการลงทุน โดยระยะแรกใช้งบประมาณเพียง 5 หมื่นล้านบาท แต่ต่อมามีการขยายงบประมาณเป็น 1 แสนล้านบาท เพื่อให้ได้ถนน 200 ก.ม. แต่ไม่คุ้มค่า เพราะเมื่อเปิดให้รถวิ่งก็วิ่งได้ด้วยความเร็วเท่าทางหลวง คือ 120 กม./ชม. ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการสร้างทางรถไฟทางคู่แม้จะใช้งบประมาณใกล้เคียงกัน แต่สามารถเดินทางด้วยความเร็ว 150-180 กม./ชม. รวมทั้งประหยัดพลังงานมากกว่า และเกิดมลพิษน้อยกว่า
“โครงการนี้เกิดขึ้นและแอบดำเนินการมาร่วม 20 ปี เป็นความทุจริตร่วมกันของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อผลประโยชน์ในการตกลงราคาที่ดิน รวมถึงการก่อสร้างโครงการนี้ แม้มีการเปิดเวทีประชาพิจารณ์ แต่เป็นการกระทำโดยลักษณะมิชอบ โดยเปิดโอกาสให้กลุ่มที่เห็นด้วยเข้าร่วมเวทีเท่านั้น แต่ไม่เปิดให้กลุ่มผู้คัดค้านเข้าร่วมเลย” นางสารภี กล่าว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการดังกล่าวมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาแล้วตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2556 หรือสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วันเดียวกัน นายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการกรณีการยึดครองที่ดินและใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาภูหลวง อุทยาแห่งชาติทับลาน และพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินใน อ.วังน้ำเขียว ว่า ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ รวมทั้งสั่งการให้สปก.จังหวัดเร่งรวบรวมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยในส่วนที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลประมาณ 10 รายก็ว่ากันไป และที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 7 ราย ก็ดำเนินการควบคู่กัน ส่วนเมื่อยึดพื้นที่กลับมาแล้วต้องนำไปดำเนินการอย่างไรนั้น ก็ต้องกลับไปดูเจตนารมณ์ของ สปก. คือ การนำที่ดินให้กับคนยากไร้ไม่มีที่ทำกิน
ส่วนที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร พร้อมด้วยกำลังทหาร ตำรวจตระเวณชายแดน และฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังเข้าร่วมรื้อถอนต้นยางพาราและพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติแต่ถูกกลุ่มนายทุนและเกษตรกรบุกรุกแผ้วถางเพื่อทำการเกษตร จำนวน 4 แปลง รวมพื้นที่ 131 ไร่ พร้อมกับมีการนำต้นกล้าพยูงปลูกซ่อมแซมผืนป่าเพื่อคืนความสมบูรณ์ให้กับพื้นที่บริเวณดังกล่าวด้วย
ขณะที่ จ.เลย นายยิ่งยศ ธนะจันทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมด้วย พล.ต.เทศนฤทิ์ กสิบุตร รอง ผอ.กอ.รมน.เลย พ.อ.สมหมาย บุษบา เสนาธิการกองยุทธการ กองทัพภาคที่ 2 พ.อ.อำนวย จุลโนยาง รอง ผบ.จังหวัดทหารบกเลย นายยุงยุทธ ชำนาญรบ ผอ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเลย นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เข้าตรวจสอบรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่หมู่บ้านซำบ่าง หมู่ 5 ต.ห้วยส้ม อ.ภูกระดึง จ.เลย ซึ่งบุกรุกที่ สปก.4-01
โดยเมื่อไปถึง พบว่า รีสอร์ทดังกล่าวเป็นรีสอร์ทหรูมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท สร้างติดถนนทางแยกจากถนนมลิวรรณเข้าไปประมาณ 1 ก.ม. พื้นที่ 28 ไร่เศษ ภายในมีการก่อสร้างอาคารเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่และแยกเป็นที่พักสร้างเสร็จแล้ว 6 หลัง กำลังก่อสร้างอีก 3 หลัง ทั้งหมดทำด้วยไม้สักล้วน ตกแต่งภายในสวยงาม จึงได้ประกาศทำการยึดคืนและเตรียมดำเนินคดีนายทุนที่ครอบครองต่อไป
วันเดียวกัน นายธวัชชัย วิจิตร์วงษ์ ผู้อำนวยการจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 9 ปราจีนบุรี เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความต่อ สภ.เมืองปราจีนบุรี เพื่อดำเนินคดี บริษัท ดีเอมดี ไลฟ์สไตส์โมดีฟ จำกัด เจ้าของ ดาษดารีสอร์ท ฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำตกเขาอีโต้ สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า รีสอร์ทแห่งดังกล่าวซึ่งมีเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ สร้างฝายกั้นน้ำลำรางสาธารณะ ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งมีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งจากการตรววจสอบพบว่า มีการบุกรุกเข้ามาในเขตป่าสงวน 86 ไร่ โดยมีการปลูกสร้างเป็นแท้งก์น้ำ บ้านพัก สระน้ำ กว่า 28 รายการ แม้ดาษารีสอร์ทจะอ้างว่า มีเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน และ น.ส.3 เป็นใบเหยียบย่ำ 12 ฉบับ แต่ป่าไม้ได้ส่งเอกสารสิทธิไปตรวจสอบกับที่ดินจังหวัดแล้ว ปรากฏว่า มีโฉนดเพียง 6 ฉบับ และอีก 6 ฉบับ ไม่มีการนำชี้แนวเขตอยู่ตรงไหน ซึ่งจะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเอกสารทั้งออกได้มาโดยชอบหรือไม่ หากตรวจสอบแล้วพบว่าได้มาโดยมิชอบ ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี