โจรใต้ป่วนหนักปัตตานี เผาวอด2อบต.!
‘อาคาร-รถยนต์’เป็นจุณ
ผบ.ทบ.ชี้คนร้ายเปลี่ยนเป้า
มือบึ้มอินเดียยังไม่เข้าไทย
มีการเผาสำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) 2 แห่ง ในจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมๆ กัน เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 28 ตุลาคม คือ อบต.ดอนรัก ตั้งอยู่ที่ ม.1 บ้านบ้านกำปงบาลา และ อบต.ปูโละปูโย ซึ่งตั้งอยู่ที่ ม.4 บ้านโคกคอแห้ง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้รับความเสียหายยับเยิน และคนร้ายยังได้ก่อกวนเผายางรถยนต์บนถนนสาย 43 ปัตตานี-หาดใหญ่
ต่อมาเวลา 08.30 น. พล.ต.ศักดา เปรุนาวิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี พ.ต.อ.กฤษกร พลีธัญญวงศ์ รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พร้อมด้วยชุดพิสูจน์หลักฐาน และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ
จุดที่ 1 คือ ที่ทำการ อบต.ดอนรัก ซึ่งเป็นอาคารปูน 2 ชั้น จากการตรวจสอบพบว่า เพลิงไหม้เผาภายในอาคารทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด ประกอบด้วย ห้องนายก อบต. ห้องกองคลังกองช่าง ห้องสาธารณสุข ห้องกองการศึกษา ห้องสำนักปลัด และห้องพัฒนาชุมชน
นอกจากนี้ ยังทำให้เอกสาร อุปกรณ์สำนักงานถูกเผาเสียหายไปด้วย และอาคารเก็บวัสดุซึ่งอยู่ข้างๆ ถูกลอบวางเพลิงจนเสียหาย ขณะที่คนร้ายยังได้เผารถยนต์ประจำตำแหน่งนายก อบต. รถดับเพลิง และรถเก็บขยะเสียหาย 3 คัน ส่วนตัวอาคารได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ทั้งหลัง จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบน้ำมันเบนซินบรรจุในแกลลอนครึ่งถัง และผ้าชุบน้ำมันเบนซิน 2 อัน ตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากนั้นจึงได้เข้าตรวจสอบจุดที่ 2 ที่ทำการ อบต.ปุโละปุโย อยู่ห่างจากจุดแรกประมาณ 8 กิโลเมตร จากการตรวจสอบพบว่าเป็นอาคารปูน 2 ชั้น คนร้ายได้ลอบวางเพลิงด้านล่าง ทำให้ห้องกองคลังกองช่าง ห้องสำนักงานปลัด ห้องเอกสาร อุปกรณ์ต่างๆ ได้รับความเสียหายทั้งหมด นอกจากนี้ คนร้ายยังได้เผารถกระเช้า และรถดับเพลิงได้รับความเสียหายทั้ง 2 คัน จากการตรวจสอบพบผ้าชุบน้ำมันเบนซิน ซึ่งคนร้ายได้ทำเป็นชนวนลากขึ้นไปชั้น 2 แต่ผ้าเกิดดับก่อนทำให้ชั้น 2 ไม่ได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
พ.ต.อ.มานิต ยิ้มซ้าย ผกก.สภ.หนองจิก จ.ปัตตานี เผยว่า ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดนำไปส่งตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อหาดีเอ็นเอ พร้อมกับสอบพยานต่างๆ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่ถูกมัดมือเท้าที่ อบต.ดอนรัก เบื้องต้นคาดเป็นกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่สร้างสถานการณ์
เหตุการณ์ดังกล่าวทาง พล.อ.อุดมเดชสีตบุตร ผบ.ทบ.กล่าวว่า กลุ่มก่อความไม่สงบอาจจะเปลี่ยนเป้าหมาย หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารได้มีความเข้มข้นในการดูแลรักษาโรงเรียน ตามการปฏิบัติตามแผนทุ่งยางแดงโมเดล ทำให้ไปก่อเหตุในสถานที่อื่นเพื่อสร้างภาพข่าวให้เป็นประเด็น
อย่างไรก็ตามยืนยันว่า หน่วยข่าวความมั่นคงยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่จะดูได้ละเอียดทั่วถึงทั้งหมดคงยาก แต่ก็พยายามและไม่ได้ตำหนิผู้ปฏิบัติงาน พร้อมชมเชยว่าเจ้าหน้าที่สามารถดูแลสถานการณ์ได้ดีแล้ว เพราะคนที่จ้องจะก่อเหตุทำได้ง่าย แต่เราก็สามารถป้องกันเหตุได้ดีที่สุด ทั้งนี้ บางพื้นที่ยังขาดอุปกรณ์ โดยเฉพาะกล้อง ซีซีทีวี ซึ่งบางส่วนก็เสียไปตามสภาพ ซึ่งต้องปรับปรุงต่อไปรวมไปถึงเรื่องยุทโธปกรณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะดูแลอย่างเต็มที่
เมื่อถามถึง ความคืบหน้า เรื่องการพูดคุยเพื่อสันติสุข พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นเจ้าภาพหลัก ขณะนี้มีการเสนอแนวทางและแผนให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาแล้ว คาดว่าจะมีการอนุมัติเร็วๆนี้
ทั้งนี้โครงสร้างการพูดคุยจะมีการแบ่งกลุ่มงานย่อยตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพูดคุย โดย 1 เดือนที่ผ่านมาถือว่าไม่ช้า เพราะเรื่องนี้ต้องรอความเห็นชอบของผู้อำนวยความสะดวก คือประเทศมาเลเซียด้วย เมื่อถามถึง ข้อเสนอขอบีอาร์เอ็น 5 ข้อเดิมที่มีการพูดคุยกับคณะของไทยในรัฐบาลก่อนจะมีการสานต่อหรือไม่ พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า คงต้องมีการทบทวน โดยเฉพาะประเด็นเขตปกครองพิเศษ
ผบ.ทบ.ยังกล่าว กรณีทีมีข่าว นายจักทา ซิงค์ ทารา (Mr.Jaktar Singh tara) ผู้ต้องขังชาวอินเดียหลบหนีจากเรือนจำในประเทศอินเดียมากบดานในจ.นราธิวาสว่า จากการตรวจสอบยังไม่พบว่าเข้ามาในประเทศไทย และไม่พบความเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวังชายแดนภาคใต้ แต่ก็ได้ให้เฝ้าติดตามอยู่
ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในเรื่องนี้ว่าได้รับรายงานอยู่ เป็นเรื่องของการติดตาม ก็มีข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ถ้ามันผิดกฎหมายทางประเทศอินเดียต้นทาง ก็ต้องว่าตามนั้น ก็พร้อมส่งตัวกลับไป เท่าที่รู้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวอยู่ และยังไม่รู้ว่าเข้ามาในเขตประเทศเราหรือยัง
ด้านพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่าจากการตรวจสอบข้อมูล พบว่า นายจาก์ตา ซิงค์ ทารา เป็นคนร้ายก่อเหตุในคดีฆาตกรรมที่ประเทศอินเดียเมื่อปีค.ศ.1995 ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับตัวได้เมื่อปีค.ศ.2004 และได้แหกเรือนจำของอินเดียเพื่อหลบหนีในปีเดียวกัน จากนั้นมีข่าวว่านายจาก์ตา ซิงค์ ทาราได้หลบหนีเข้ามาในประเทศแถบเอเชียหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยระหว่างนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานข้อมูลระหว่างประเทศกันแล้ว และเจ้าหน้าที่ของทางไทยก็ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถจับตัวชายคนดังกล่าวได้ และยังไม่ทราบว่าหลบหนีอยู่ที่ประเทศใด
“ข่าวนี้เป็นข่าวที่เกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่ทราบว่ามีข่าวดังกล่าวออกมาอีกได้อย่างไร และจากข้อมูลทราบว่านายจาก์ตา ซิงค์ ทาราไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการประกอบระเบิด อีกทั้งไม่มีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยอย่างแน่นอน”พ.อ.บรรพตระบุ
ขณะที่ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(โฆษกตร.) กล่าวว่า ตำรวจไทยได้รับการแจ้งเตือนจากตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล เกี่ยวกับตัวนายนายจักทา ซิงค์ ทารา และเชื่อว่า ได้หลบหนีเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงประสานแจ้งเตือนมายังทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเชื่อว่าประเทศไทยอาจจะเป็นทางผ่านในการหลบหนี โดยใช้เส้นทางในพื้นที่ภาคใต้ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 8 และภาค 9 จึงสั่งการให้ตำรวจในพื้นที่เฝ้าระวัง และตรวจสอบอย่างเข้มงวด ป้องกันไม่ให้มีการหลบหนีเข้ามาในพื้นที่
ด้านที่ด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีการติดป้ายนายนายจัคตาร์ ซิงห์ ทารา หลายเวอร์ชั่นไว้ให้ประชาชนนักท่องเที่ยวได้ทราบเพื่อจะได้แจ้งเบาะแสให้ทางเจ้าหน้าที่
มีรายงานว่า นายจัคตาร์ ซิงห์ ทารา ได้ทำพาสปอร์ตปลอมของประเทศปากีสถาน โดยใช้ชื่อนายกูร์มีท ซิงค์ เป็นวีซ่านักท่องเที่ยว เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 57 ที่ผ่านมา โดยไปหลบกลบดานอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยมีลูกน้องเป็นชาวเนปาล เปิดห้องให้ แต่เมื่อ จนท.เข้าไปตรวจสอบพบว่าได้หลบหนีออกจากโรงแรมที่เมืองพัทยาแล้วแต่ไม่รู้ไปไปกบดานที่ไหนต่อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี