เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องเริ่มต้นด้วยคำว่า “เสียใจ” กับ ครอบครัวของ ครูอิศรา ชัยฤทธิ์โชค ครูโรงเรียนบ้านควนแตน ต.ท่าเรือ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ครอบคัวของนางสิริรัตน์ แซ่ชั้น นางสารินี แซ่ท่อง ชาวบ้านต.แม่หวาด อ.ธารโต จ.ยะลา และนายนรพล แสงมณี ราษฎรเต็มขั้น ที่ ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
ทั้ง 4 ราย เสียชีวิตในวันเดียวกัน ด้วยวิธีการเดียวกันคือถูก “ฆ่า” ด้วยวิธี “ประกบยิง” โดยฝีมือของ คนร้ายที่ เราเรียกว่า
“แนวร่วม” ขบวนการก่อการร้าย โดยที่คนทั้ง 4 ไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ได้เป็น “สายข่าว” ให้เจ้าหน้าที่ ไม่ได้เป็น “ปรปักษ์” กับ “แนวร่วม” ในพื้นที่ คนทั้ง 4 คือ “เหยื่อ” ของสถานการณ์ความรุนแรง ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด จนเปรียบเสมือนกับว่าคน “ไทยพุทธ” คือ ตัวประกัน ในพื้นที่ของความ “ขัดแย้ง” แห่งนี้
ย้อนกับไปดูถึงสาเหตุที่เป็น “เหตุ” ให้คน “ไทยพุทธ” 4 ราย ที่กลายเป็นเครื่อง “บัดพลี” ให้กับสถานการณ์ความไม่สงบในครั้งนี้จะพบว่า ก่อนที่คนทั้ง 4 จะเป็นผู้ “รับเคราะห์” ได้มีการกราดยิงครูสอนศาสนา หรือ “อุสตาซ” ผู้หนึ่งเสียชีวิต และลูกชายที่ยังเป็น “เด็กชาย” ได้รับบาดเจ็บ ในพื้นที่ ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับ อ.ธารโต.จ.ยะลา
ซึ่งไม่ห่างจากที่นางสิริรัตน์ และนางสารินี สองคนแม่ลูกแห่ง ต.แม่หวาด ประกบยิงเสียชีวิต โดย “อุสตาซ” ผู้นี้เป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีดำ และมีหมายจับตามพ.ร.ก.ติดตัวอยู่ และกำลังของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในพื้นที่ได้นำตัวไปปรับทัศนะในศูนย์ซักถามอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนปล่อยตัวให้กลับบ้าน และถูกกราดยิงเสียชีวิตในที่สุด
แม้ว่า โดยข้อเท็จจริง เชื่อได้ว่า การตายของ “อุสตาซ”ผู้นี้ ไม่ใช่เกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่หลังเกิดเหตุในพื้นที่การ “สื่อสาร” ของ “แนวร่วม” ของ คนในพื้นที่จำนวนหนึ่ง ในโลกของ “โซเชียล” ก็พยายามโยงให้เป็นเรื่องว่าเกิดจาก ฝีมือของเจ้าหน้าที่ และก็ได้ผล เพราะมีคนที่เชื่อ เป็นจำนวนมาก
ต่อมาเพียงวันเดียว กำลัง ทหาร ตำรวจ ได้เข้าปิดล้อม เพื่อตรวจค้น พื้นที่บ้านโคกโหนด ต.คลองตันหยง อ.หนองจิก
จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นไปตามแผน “เชิงรุก” ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าที่ “การข่าว” ได้ติดตาม “แนวร่วม” กลุ่มหนึ่งมาจากพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา เพื่อเข้ามา “หลบซ่อน” ในพื้นที่ อ.หนองจิก
ปฏิบัติการปิดล้อมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สามารถ “จับเป็น” ผู้อยู่ในบ้านหลังหนึ่งได้ 5 คน และต้องการ “จับตาย” คนร้ายอีก 2 คน ที่ไม่ยอมออกมามอบตัว และใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ เพื่อเปิดทางหนีเจ้าหน้าที่จึงใช้รถหุ้มเกราะพุ่งเข้าชนบ้านพัง และส่งกำลังเข้าไป วิสามัญ”จนคนร้ายเสียชีวิตทั้ง 2 ราย
ถ้าเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ทุกอย่างคงจะจบลง โดยอาจจะมีญาติพี่น้องของผู้ตายเจ็บแค้น เจ้าหน้าที่บ้างตามสมควร หรืออย่าง “ดุเดือด” ที่สุด ก็อาจจะยื่นหนังสือ ของความเป็นธรรมว่า เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ เพราะเห็นว่ายังมีวิธีการอื่นๆ กับคนร้าย โดยไม่ต้อง “วิสามัญฆาตกรรม” ก็ได้
แต่..เพราะ พื้นที่นี้ ไม่ใช่พื้นที่ “อื่นๆ” ของประเทศ แต่เป็นพื้นที่ “ปลายด้ามขวาน” เป็นพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา ที่มี “เงื่อนไข” ของ “สงคราม” ซึ่งเป็น “สงครามประชาชน” ที่เกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อน อันเนื่องมาจากความ “อยุติธรรม” ของผู้ปกครองในสมัยนี้ แต่จนถึงสมัยนี้ ก็ยังกลายเป็น “เงื่อนไข” ที่ยังแก้ได้ไม่สำเร็จ
ดังนั้น หลังจากที่มีการ “วิสามัญ” คนร้ายทั้ง 2 รายขึ้น อีกรุ่งวันหนึ่ง ปฏิบัติการ “เอาคืน” ก็เกิดขึ้นในทันที่ทันควัน พร้อมทั้งมีการทิ้ง “ใบปลิว” ในจุดที่เกิดเหตุว่า “จับมั่ว ยิงมั่ว” เช่นเดียวกับ การกราดยิงคน “ไทยพุทธ” 3 ศพ บาดเจ็บอีก 7 ราย ที่ อ.เทพา จ.สงขลา เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ที่เป็นการ ตอบโต้ การที่ เจ้าหน้าที่ “ยิงมั่ว” จนมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ที่ จ.นราธิวาส และการ “จับมั่ว” ของตำรวจ ส่วนกลางในพื้นที่ รอยต่อระหว่าง จ.สงขลา กับ จ.ปัตตานี
ปฏิบัติการที่ บ้านโคกโหนด ด้วยการ “วิสามัญ” 2 คนร้าย ถ้าเอาคำว่า “กฎหมาย” เป็น “ที่ตั้ง” เจ้าหน้าที่ทำถูกต้อง เพราะคนร้ายมีอาวุธ และยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ไม่ยอมมอบตัว ทั้งที่มีการใช้ผู้นำศาสนาเข้า “เกลี้ยกล่อม” จึงชอบด้วยกฎหมาย ที่จะทำการ “วิสามัญ” คนร้ายทั้ง 2 คน
แต่...ในขณะเดียวกัน คนส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนหมู่มาก ยังมีความ “เห็นต่าง” ว่า เจ้าหน้าที่ยังมีทาง “หลีกเลี่ยง”โดยไม่ต้องใช้วิธี “วิสามัญ” คนร้ายได้อยู่ เพราะคนร้ายที่ออกมามอบตัว5 คน ย่อมให้ข้อเท็จจริง ต่อเจ้าหน้าที่ได้ว่า คนร้ายอีก 2 คน มีอาวุธปืนอะไร มีเครื่องกระสุนเท่าไหร่ ถ้ารอให้คนร้าย กระสุนหมด ก็อาจจะบุกเข้าไป “จับเป็น” ได้
ซึ่งหากมีการ “จับเป็น” ได้ทั้งหมด ปฏิบัติการครั้งนี้ จะเป็นการ“ยืนยัน” คำพูดของ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการเกตุผบช.ศชต. ได้ดีว่า กอ.รมน.ภาค 4 และ ศชต. ยุคใหม่ จะไม่ใช้ความรุนแรงในการปฏิบัติการดับ “ไฟใต้” อย่างแท้จริง
หลังเกิดเหตุ “วิสามัญ” ครั้งนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จึงทราบในทันที่ว่า คนร้าย หรือ “แนวร่วม” ต้องมีการ “เอาคืน” แน่ โดยผู้ที่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” คือเป้าหมาย “อ่อนแอ” นั้นคือประชาชน จึงได้มีการแจ้งเตือนประชาชน และเพิ่มการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่
แต่สุดท้าย ก็ป้องกันไม่ได้ ซึ่งการป้องกันไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ แต่เป็นเพราะจำนวนของเป้าหมาย “อ่อนแอ” ที่เป็นประชาชนมีมากมายเกินไป ต่อให้เพิ่มทหารเข้าอีก 50,000 คนก็ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะเจ้าหน้าที่เอง ก็ไม่รู้ว่า ใครจะตกเป็น“เหยื่อ” และผู้ที่ลงมือคือใคร
ตรงนี้ต่างหาก ที่เป็นปัญหาและเป็นสิ่งที่ “แก้ไม่ตก” เพราะเมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรง ซึ่งถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็แล้วแต่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสูญเสียของคน “ไทยพุทธ”ที่เหมือนกับเป็น “ตัวประกัน” เพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐ
โดยข้อเท็จจริง สถานการณ์ในพื้นที่เริ่มปรากฏ “ลางดี” ขึ้นมาตามลำดับ การก่อเหตุเริ่มลดจำนวนลง การก่อการร้ายใหญ่ๆ แบบ“คาร์บอมบ์” ลดน้อยลง การใช้วิธีการ “พูดคุย” ในพื้นที่กำลังปรากฏผลในด้านบวกเป็นลำดับ การใช้ “ทุ่งยางแดงโมเดล” ได้รับการ“จับตามอง” เพื่อรอดูผลสำเร็จจากผู้คน แต่สุดท้าย เมื่อมีการใช้ความรุนแรงของทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ และฝ่ายขบวนการ หลายอย่างที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าทำมา ก็เหมือนกับการ “ตักน้ำถมทะเล”อีกครั้งหนึ่ง
ที่ได้หยิบเรื่องที่เกิดขึ้นมาเขียนถึง ไม่ได้บอกว่า การปฏิบัติการ“วิสามัญ” ของเจ้าหน้าที่ต่อคนร้ายเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง หรือ “เข้าข้างโจร”เพียงแต่อยากจะบอกว่า สถานการณ์ต่อไปนี้ ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นระยะ “เปลี่ยนผ่าน” ยังจะมีเหตุการณ์ อย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านโคกโหนดอีกมากมาย เพราะยังมี“แนวร่วม” หรือ “คนร้าย” ที่ “ยอมตาย” แต่ไม่ยอมให้ “จับเป็น”อีกมากที่จะเกิดขึ้นในการปิดล้อม ตรวจค้น สถานที่ต่างๆ
และหากทุกครั้งที่มีการ “วิสามัญ” คนร้ายเกิดขึ้น และคนร้าย“เอาคืน” ด้วยการฆ่า ผู้ “บริสุทธิ์” เพื่อเป็นการ “แก้แค้น” ที่ไม่สามารถทำรายเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการเกิดขึ้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ซึ่งมีอาสาสมัคร ฮากิม ดาราเซะ เป็น “เงื่อนไข” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะให้การดูแลชีวิตของชาวไทยพุทธในพื้นที่อย่างไร
เชื่อเถอะ ไม่มี ผบ.ทบ.คนไหนทำได้ ไม่มีแม่ทัพคนไหนทำได้นอกจากหากคิดว่า จำเป็นต้องใช้ความ “รุนแรง” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในการ “จัดการ” กับ คนร้าย “หัวแข็ง” ด้วยการ“วิสามัญ” หมายถึงว่า ทั้ง ผบ.ทบ.ทั้ง แม่ทัพ นายกอง จะต้อง“ทำใจ” ที่จะเห็น “เลือด” ของคน “ไทยพุทธ” ผู้บริสุทธิ์” นองแผ่นดินเพื่อแลกกับการ “วิสามัญ” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ได้พยายามทำตามขั้นตอน จาก “เบา” ไปหา “หนัก” แล้วนั่นเอง
และ ... แน่นอนว่า การแก้ปัญหา “ไฟใต้” ไม่ใช่การเล่น“หมากฮอส” ที่จะผลัดกันกิน จนกว่าจะหมดกระดาน เพราะชีวิตคนบริสุทธิ์ ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นชีวิตที่ทุกชีวิตมีค่าเท่าเทียมกัน และมีความหมายกับครอบครัวผู้สูญเสียทุกครอบครัว ซึ่งเงินเยียวยา 500,000 บาท ที่ครอบครัวผู้บริสุทธิ์ได้รับนั้น ไม่เคยมีครอบครัวไหนอยากเอาชีวิตของคนในครอบครัวของเขาไปแลกมา
สุดท้าย ทั้งๆ ยังใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง เป็นการแก้ปัญหา เวทีการ “พูดคุยสันติสุข” ที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ อาจจะเป็นการ“สูญเปล่า” เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจากเราไม่สามารถ “หยุด” ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้นั่นเอง
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี