เมื่อฤดูกาลผลัดเปลี่ยน ลมหนาวเริ่มมาเยือน ไม่เพียงแต่โรคภัยไข้เจ็บที่จะเข้ามาเบียดเบียนมนุษย์เท่านั้น พืชก็เช่นกัน ดังนั้น กรมหม่อนไหมจึงเตือนเกษตรกรผู้ปลูกหม่อน ให้ระวังโรคหม่อนที่มักพบได้ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้แก่ โรคราแป้ง
และราสนิม แนะไม่ควรปลูกหม่อนชิดเกินไปและคอยตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่กรมหม่อนไหม
นางวีณา พงษ์พัฒนานนท์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ฤดูหนาว เป็นช่วงที่หมอกลง มีน้ำค้างและอากาศชื้น ในตอนเช้าต้นหม่อนมักเกิดโรคราแป้ง และโรคราสนิม เนื่องจากราแป้ง และราสนิมบริเวณใต้ใบสามารถแพร่กระจายโดยฝนและลม เกษตรกรจึงควรหมั่นตรวจแปลงปลูกหม่อนว่ามีโรคราแป้ง และราสนิมระบาดในแปลงปลูกหม่อนหรือไม่ เพื่อป้องกันโรคราแป้งและราสนิมไม่ให้ระบาดในแปลงปลูก เกษตรกรสามารถสังเกตลักษณะอาการของแต่ละโรคได้
โรคราแป้ง (Powdery mildew) เกิดจากเชื้อรา Phyllactinia corylea (Pers) Karst. มีการระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่หมอกลงจัด ลักษณะอาการของโรค จะเห็นผงสีขาวคล้ายแป้งอยู่ใต้ใบ หรือผงสีขาวปนเทาใต้ท้องใบแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล มักเกิดกับใบแก่มากกว่าใบอ่อน ใบที่เป็นโรคจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแห้งกรอบแล้วร่วง มักพบไรแดงตามใบที่เป็นโรคด้วย
การป้องกันโรคราแป้งนั้น เกษตรกรไม่ควรปลูกหม่อนชิดเกินไป เพื่อให้แปลงหม่อนมีการถ่ายเทอากาศได้ดี ตัดแต่ง
กิ่งหม่อนตามคำแนะนำของกรมหม่อนไหม เพื่อลดการระบาดและตัดวงจรของโรคการกำจัดเมื่อเกิดโรคโดยเก็บใบและกิ่งหม่อนที่เป็นโรคราแป้งเผาทำลาย ใช้สารเคมีชนิดดูดซึม เช่น เบนโนมิล 50% WP อัตรา 10 กรัม ต่อ น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นตามกิ่งและใบให้ทั่ว 20 วัน/ครั้ง หลังพ่น 10 วัน จึงเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหมได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อหนอนไหม
ส่วนโรคราสนิม (Red rust) เกิดจากเชื้อรา Aecidium mori (Barel.) มีการระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาวที่มีอากาศชื้น อุณหภูมิประมาณ 22-24 องศาเซลเซียส โดยสปอร์ของเชื้อราจะแพร่กระจายไปกับฝนและลม ลักษณะอาการของโรค คือมักเกิดเป็นรอยจุดนูนรูปวงกลมหรือรูปไข่สีเหลืองและสีน้ำตาล บริเวณผิวด้านล่างของใบหม่อน ส่วนด้านหน้าใบจะเป็นรอยบุ๋ม ถ้าระบาดรุนแรงใบจะเหลืองและร่วงก่อนกำหนด
การป้องกันโรคราสนิมนั้น ควรตัดแต่งกิ่งให้ทรงพุ่มโปร่ง โดยตัดแต่งในช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม เพื่อลดการระบาดของโรค สำหรับในพื้นที่ที่มีการระบาดเป็นประจำ ควรปลูกหม่อนให้มีระยะปลูกห่างมากกว่าปกติ ใช้พันธุ์หม่อนที่ทนทานต่อการเกิดโรค ได้แก่ หม่อนพันธุ์คุณไพ แต่ผลผลิตใบจะน้อยกว่าพันธุ์บุรีรัมย์และพันธุ์สกลนคร ในสภาพปกติ
สำหรับการกำจัดเมื่อเกิดโรคนั้น ถ้าพบการระบาดรุนแรงให้ตัดแต่งกิ่ง และนำกิ่งและใบหม่อนเผาทำลาย เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดและสะสมโรค และถ้าต้องการใช้สารเคมีควรพ่นด้วยสารไตรอะดิมิฟอน อัตรา 15 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือโปรพิโคลนาโซล อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไดฟิโนโคลนาโซล อัตรา 25 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ส่วนวิธีการใช้และข้อควรระวัง การใช้สารเคมีไม่ควรพ่นขณะแสงแดดจัด ควรพ่นขณะที่ความรุนแรงของโรคไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน/ครั้ง ระยะปลอดภัยสำหรับการเลี้ยงไหมหลังจากพ่น 20 วัน จึงเก็บใบไปเลี้ยงไหมได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อหนอนไหม
“การปลูกหม่อนในรอบ 1 ปี มีปัญหาและอุปสรรคที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องปรับวิธีการปลูกการดูแล และแก้ปัญหาไปตามแต่ละฤดูกาล แต่ละสภาพภูมิอากาศ และแต่ละสภาพพื้นที่ เพื่อที่ต้นหม่อนจะได้มีใบหม่อนที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเลี้ยงหนอนไหม แมลงเศรษฐกิจที่ให้ทั้งอาชีพและคุณค่าต่อเราและประเทศชาติ มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี