“ขอให้แต่ละกระทรวงไปกำหนดแผนงานเป็นไทม์ไลน์ แบบที่กองทัพใช้ โดยให้ตั้งเป้าหมายว่าโครงการหนึ่งต้องสำเร็จภายในเวลาเท่าไหร่ เช่น จะสามเดือนหรือเท่าไหร่อย่าไปวาดโลกทั้งโลกแล้วมาปฏิรูปอย่างนั้น มันทำไม่ได้ ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเรื่องไหนทำได้ก็ทำไปก่อน เพราะปัญหาในเมืองไทยสะสมมานานหลายรัฐบาล วันนี้รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ ทำรูปแบบนี้หมดผมให้แนวทางไปแล้ว ต้อง 1.ทำก่อนทำทันที คิดมาแล้วทำมา ภายในหนึ่งเดือน หรือสามเดือนก็แล้วแต่ 2.ต้องเห็นผลสัมฤทธิ์ภายใน 1 ปี ด้วยกฎหมายก็ได้ หรือ อะไรก็แล้วแต่แก้มาแล้วก็ส่งต่ออย่างยั่งยืน การส่งต่อจะทำยังไงทุกคนบอกว่าเสียของ เดี๋ยวก็กลับมาใหม่ แต่ผมไม่กลับมาอยู่แล้ว ยังไงก็กลับมาไม่ได้มีบางคนพูดมาว่า อดทนไปเถอะเดี๋ยวหนึ่งปีมันก็ไป เดี๋ยวผมจะย้ายมันตรงนี้ ระวัง ผมมีชื่อแล้วด้วย อย่าพูดคะนองปากแบบนี้อีกผมโกรธพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่รักประเทศไทยที่พูดแบบนี้ ไม่ควรเป็นข้าราชการ ส่วนเรื่องประชาธิปไตย ผมใช้คำว่าติดกับดักประชาธิปไตยทั้งหมด ประเทศอื่นเขาไปโลกหน้ากันแล้ว วันนี้ยังย้อนถอยหาประชาธิปไตยอยู่นั่นแหละ ประชาธิปไตยก็เดินไปสิ ผมไม่ได้ไปขัดขวาง ขัดแย้งอยู่แล้วผมอยากให้เข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้”
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นทหารในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์และทหารเสือราชินีปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ, ประธานคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน, ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ, อดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตกรรมการบริษัท ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน), อดีตประธานสโมสรฟุตบอลอาร์มี่ ยูไนเต็ด และอดีตประธานคณะกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบก
สังคมไทยเคยเรียกร้องผู้นำที่มีความเข้มแข็งในทุกครั้งที่ สังคมไทยเกิดวิกฤติ แต่ในยามที่สังคมไทยพ้นวิกฤติเข้าสู่ความสุขสมบูรณ์ ก็จะเกิดกลุ่มคนที่ คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในสังคมเพื่อตนเองและพวกพ้องจนสังคมต้องกลับไปสู่ภาวะวิกฤติอีก วนเวียนกันไปมา จนกลายเป็น วลีที่ว่า “พายเรือในอ่าง”หลายคนลืมความเจ็บปวดที่เคยได้รับในยามที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะวิกฤติของสังคม
จากคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดังกล่าวข้างต้นประจักษ์ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของผู้นำประเทศ แต่ดูเหมือนว่า ก็ยังมีหลายกลุ่ม หลายบุคคลที่ยังพยายามสร้างความไขว้เขว หรือทำให้เกิดสภาวะเคลือบแคลงถึง ความเข้มแข็งของผู้นำประเทศว่า ยืนอยู่บนเจตนาคติที่ไม่ได้ทำเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ ดังนั้น วันนี้คนไทยทั้งประเทศ สังคมไทยทุกกลุ่ม ที่เคยอยากให้ ประเทศไทยมีผู้นำที่เข้มแข็ง จะต้องแยกแยะให้ออกถึง ความต่างระหว่างผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อแสวงหาประโยนชน์เพื่อตนเอง กับผู้นำที่เข้มแข็ง แต่ทุ่มเทประโยชน์ให้กับชาติบ้านเมืองให้ออกว่า เรากำลังมีผู้นำแบบไหน ซึ่งแน่นอนว่าเราย่อมต้องการผู้นำที่ทำเพื่อชาติบ้านเมืองดังนั้นหน้าที่ของสังคมไทยทุกคนที่อยากเห็นบ้านเมืองมีความสงบสุข มีการพัฒนา คนไทยทุกคนต้องอย่าปล่อยให้คนที่ทำเพื่อชาติอยู่อย่างโดดเดี่ยว เราต้องเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้แก่ผู้ที่ทำเพื่อชาติ เราต้องเป็นกำลังใจให้วีรบุรุษที่มากู้ชาติ เพราะไม่มีวีรบุรุษคนใดทั้งในอดีตและปัจจุบันที่อยู่ได้โดยขาดกำลังใจ
วันนี้เราน่าจะถึงเวลาวัดผลการศึกษาของคนไทยทั้งประเทศได้อีกครั้งว่า การศึกษาไทยสร้างให้คนไทย “คิดเป็นวิเคราะห์เป็น” มากน้อยแค่ไหน ด้วยโจทย์ปัญหาที่ว่า “ความแตกต่างระหว่างคนที่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง กับ แสวงหาประโยชน์เพื่อชาติ มีความแตกต่างกันอย่างไร?”
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี