หลังเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียคน “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ไปจำนวนหลายคนในเดือนพฤศจิกายน ผู้เขียนซึ่งมีงานที่ต้องรับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ใช้เวลาหลายวันในการตระเวน ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน และล่าสุดได้ไปร่วมเวที “วิพากษ์” งานการวิจัยของนักวิจัยอิสระในข้อเรื่อง “เมื่อความจริงคืนจุดเริ่มต้น ของความเป็นธรรม” ที่โรงแรมซีเอส ปัตตานี ดังนั้น ในวันนี้ จึงขอหยิบเอาประเด็นที่ “เบา” ในพื้นที่มาเขียนถึงเพื่อต้องการให้เห็นถึงสถานการณ์และพัฒนาการของปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
ประเด็นแรก คือเห็นถึงความ “ตั้งใจ” ในการที่จะดับ “ไฟใต้” ของกองทัพตั้งแต่มีการ “รัฐประหาร” เกิดขึ้น และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็น ผบ.ทบ.อยู่ จนมาถึงการ“ส่งไม้” ตำแหน่ง ผบ.ทบ. ให้กับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร นโยบายในการดับ “ไฟใต้” มีการปรับเปลี่ยน มีการ “รุก” ทั้งในด้านการเมืองและการทหาร
“ทุ่งยางแดงโมเดล” นั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นนโยบายที่ต้องการ “โฆษณา ประชาสัมพันธ์” เพื่อผลทาง“จิตวิทยา” ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายในการ “บูรณาการ” ทุกหน่วยงานในการดับ “ไฟใต้” โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอซึ่งเป็นแผนงานที่มีการเขียนและทำกันมาตั้งแต่ครั้งที่ “ยิ่งลักษณ์”ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็น ผอ.กอ.รมน. เพียงแต่การ“ขับเคลื่อน” ศปก.อำเภอ ในขณะนั้น ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเพราะการขาดซึ่ง “เอกภาพ” นั่นเอง
แต่...นอกจากทุ่งยางแดงโมเดลแล้ว กองทัพ กอ.รมน.ยังมีการนโยบายอื่นๆ อีกมาก โดยผ่านการ “ปฏิบัติ” ทาง แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นนโยบาย “เชิงรุก” ที่เน้นหนัก ในการที่จะ “หยุดเลือด” คือการก่อเหตุรายวัน และการเปิด “เกมรุก” ในด้านทำความเข้าใจ กับผู้ที่ “เห็นต่าง” ในพื้นที่
ซึ่งการ “เกมรุก” เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ที่ “เห็นต่าง” ในพื้นที่มีการเข้าถึง พ่อ แม่ ญาติมิตร ของผู้ที่ “เห็นต่าง” ทั้งที่ “จับอาวุธ” และที่เป็นผู้นำด้าน “จิตวิญญาณ” เพื่อที่จะให้ผู้ “เห็นต่าง” เหล่านั้น หยุดการเป็น “ปรปักษ์” กับรัฐ
และหน่วยงานของรัฐในพื้นที่
มีการใช้นโยบายทาง “การเมือง” ในการ “สลายแกน” ของขบวนการในรูปแบบต่างๆ เพื่อลดจำนวน “แกนนำ” ซึ่งครั้งหนึ่งที่ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย เคยรับผิดชอบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เคยทำอย่างได้ผลพอสมควร แต่ต้องเลิกราไป
และในงานด้านการ “พูดคุยสันติสุข” ที่ถือเป็น “หัวใจ” ของการดับ “ไฟใต้” อย่างถาวรนั้น นอกจากจะมีการจัดทีม ทำการ “พูดคุย” กับบุคคลจำนวนหนึ่งในพื้นที่ทั้งเป็นแบบ “ปิดลับ” และเป็นแบบ “เปิดเผย” และแม้กระทั่งผู้ที่ถูก “จองจำ” อยู่ในเรือนจำ
ก็มีทีมไป “พูดคุย” ด้วย เพื่อที่จะใช้เป็น”แนวทาง” ในการ สร้าง “สันติสุข”
ล่าสุด ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไป “เป็นแขก” ของนายกรัฐมนตรี ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 1 ธันวาคม ที่จะถึงนี้ (ถ้าทางมาเลเซียไม่มีการเลื่อน) ทีมงานของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้เดินทางไปยัง ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อไปพบกับ “สะแปอิง บาซอ” และทีมงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีท่าทีไม่ตอบรับในเรื่องการ “พูดคุยสันติสุข” รอบใหม่
เพราะกลุ่มขบวนการกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ถือเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มใหญ่ ที่การจะมีการเปิดเวที “พูดคุย” ที่ประเทศมาเลเซีย เกิดขึ้น จะต้องทำความเข้าใจและฟังความ “คิดเห็น” ของคนกลุ่มนี้เป็นสำคัญ ซึ่งเท่าที่ทราบ
การเดินทางไปพบปะพูดคุยกับกลุ่มของ “สะแปอิง” มีผลทางด้าน “บวก” ต่อการที่จะเปิดพื้นที่ “พูดคุยสันติภาพ” พอสมควร
จะพบว่านโยบายของการ “ดับไฟใต้” ของรัฐบาลครั้งนี้ มีความพยายามที่จะ “ก้าวเดิน” พร้อมๆ กันทั้งด้านการเมือง การทหาร
ละการพัฒนา โดยจะเห็นว่า ในด้านการพัฒนานั้น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้นำเอาโครงการพัฒนา ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศอ.บต.ครั้งที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นเลขาธิการ ศอ.บต.
เช่น หนึ่งอำเภอหนึ่งสายถนน โดยเลือกเอาถนนที่ เสียหายที่สุด จำนวน 37 สาย เพื่อซ่อม สร้าง ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ในการสัญจร และการขนพืชผลทางการเกษตรมาสู่ตลาด และการใช้ยางพารามาใช้ในการ สร้างสนามกีฬา และถนน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับยางพารา
แม้ว่า ถนนทั้ง 37 สาย จะเป็นการสร้างของทหารช่าง แบบ “ชงเองกินเอง” แทนที่จะให้เอกชน ในพื้นที่เป็นผู้ “รับเหมา” แบบ หนึ่งสายถนน หนึ่งผู้รับเหมา เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ ประโยชน์ แต่เมื่อ ทหาร สร้างเอง ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสีย ประชาชน ก็ได้ใช้ถนน แม้ว่าอาจ “ได้งาน” แต่ไม่ “ได้ใจ” เท่ากับให้ ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง
เดินอยู่ในพื้นที่ หลายวัน สิ่งที่ได้รับทราบจากคนในพื้นที่ซึ่งเป็น ผู้นำท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกองกำลังประชาชนเช่น ชรบ.อพป. และอาสาสมัคร ในรูปแบบต่างๆ ที่มีความเป็นอยู่ในด้านขวัญและกำลังใจที่ดีขึ้น เพราะมีค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อในการ “กอดปืน” เพื่อ “เสี่ยงชีวิต” มีการ “ใส่ใจ” จากหน่วยงานมากขึ้นและแน่นอนว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ การรักษาความสงบในหมู่บ้าน น่าจะได้ผลดีขึ้นในอนาคต
และที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด คือ ถ้าไม่ใช่การ “เสแสร้ง เอกภาพ” ระหว่างหน่วยงาน ทั้งทหาร ตำรวจ และปกครอง ที่สามารถ “ก้าวเดิน” ไปพร้อมๆ กัน เพื่อลบภาพความเป็น “เกาเหลา” หรือไม่ขึ้นต่อกัน หรือที่เรียกว่า ไม่มี “เอกภาพ” เหมือนอย่างที่เคยเห็นในอดีต และ แน่นอนว่า ถ้าภาพที่เห็นไม่ใช่การ “สร้างภาพ” แต่เป็น “ของจริง” เท่ากับว่า “เอกภาพ” ในการปัญหาความไม่สงบได้เกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
ปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่กลายเป็น “อุปสรรค” มาโดยตลอด คือการไม่มี “เอกภาพ” ของหน่วยงาน
ในพื้นที่ ความ “อ่อนแอ” และ ไร้ “อำนาจ” ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จนทำให้รัฐบาลไม่สามารถที่จะ แก้ปัญหา
“ไฟใต้” อย่างได้ผล ดังนั้น ในวันที่รัฐบาลเป็นรัฐบาล “ทหาร” และเป็นรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดี ในเรื่องอื่นๆ บ้าง แต่น่าจะเป็นผลดี ในเรื่องของการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้น
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะ ถ้ารัฐบาล และกองทัพ สามารถที่จะทำให้“ไฟใต้” ลดความรุนแรงลง ผลดีนอกจากจะทำให้ลดความสูญเสียของประชาชนให้น้อยลงแล้ว ยังจะทำให้ “ภาพลบ” ของ “กองทัพ”ในความรู้สึกของประชาชนหายไป คำพูดที่พูดกันตั้งแต่ใน “ร้านน้ำชา” และในห้อง “ประชุม” ว่า “กองทัพค้าสงคราม” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ ผู้นำเหล่าทัพ ไม่อยากได้ยินก็จะหายไปในที่สุด
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี