“ผลหม่อน” หรือ “ลูกหม่อน” ผลไม้ขนาดจิ๋ว แต่คุณภาพแจ่มแจ๋ว มีแววว่าเริ่มโด่งดังมากยิ่งขึ้น ในอนาคต เมื่อกรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมให้มีการปลูกหม่อนไปทั่วประเทศ ล่าสุดได้ส่งเสริมให้มีการปลูกและใช้ประโยชน์อย่างจริงจังในภาคใต้แล้ว
นางวีณา พงศ์พัฒนานนท์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า กรมหม่อนไหมมีการค้นคว้าวิจัย ประโยชน์และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลหม่อนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 20 ปี ตั้งแต่ปี 2533 ทำให้ผลิตภัณฑ์จากผลหม่อน เริ่มเป็นที่รู้จักของนักบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อีกทั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กระแสผลไม้กลุ่มเบอร์รี่เป็นที่นิยมของคนไทยทุกเพศ ทุกวัย จึงทำให้ผลหม่อน หรือ “มัลเบอร์รี่” ซึ่งเป็นเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง มีที่ยืนในตลาดเคียงบ่าเคียงไหล่กับเบอร์รี่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น บลูเบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ เป็นต้น ในปีนี้ น้ำหม่อนหรือน้ำมัลเบอร์รี่ (mulberry juice) ของไทย ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย และชาวไทยในจังหวัดสงขลา ที่หันมาบริโภคเครื่องดื่มจากลูกหม่อนกันมาก ด้วยติดใจในรสชาติ และทราบสรรพคุณว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท ลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม ลดการตายของเซลล์ประสาทจากพิษสุราเรื้อรัง ช่วยบำรุงสายตา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคต้อกระจกตา จากภาวะโรคเบาหวาน
ในปี 2556 พบว่ามีเกษตรกรปลูกหม่อนผลสดทั่วประเทศ 929 ราย ในพื้นที่ปลูก 979 ไร่ ทั้งที่ให้ผลผลิตแล้ว และยังไม่ให้ผลผลิต มีผลผลิตผลหม่อนรวม 256.5 ตัน คิดเป็นมูลค่าผลหม่อนสด 12,825,000 บาท (ราคาขายส่ง 50 บาทต่อกิโลกรัม) เมื่อนำไปแปรรูปจะมีมูลค่าเพิ่มอีกอย่างน้อยประมาณ 5 เท่า คิดเป็นมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูป 64,125,000 ล้านบาท เมื่อต้นหม่อนเหล่านี้ถึงระยะให้ผลผลิตเต็มที่จะมีผลหม่อนราว 937 ตัน หรือประมาณ 1,000 ตัน
ในปี พ.ศ. 2557 มีการส่งเสริมการปลูกอีกจำนวนมาก คาดว่าในปี พ.ศ.2560 ประเทศไทยจะมีผลหม่อนราว 1,500 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่า 75 ล้านบาท แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่า 375 ล้านบาท สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการได้มากทีเดียว นอกจากการเลี้ยงไหมเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนผลสดจะอยู่ในเขตภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่ มีมากถึง 514 ราย จำนวนพื้นที่ 642 ไร่ รองลงมาได้แก่ ภาคอีสาน มีเกษตรกร 139 ราย พื้นที่ปลูก 138 ไร่
ผลหม่อนนั้นสามารถนำมาแปรรูปผลหม่อนเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ น้ำผลไม้ ไวน์ แยม ผลหม่อน อบแห้ง เป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่มอีกหลายชนิด เช่น เบเกอรี่ ไอศกรีม เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีภาคเอกชนผลิตเชิงพาณิชย์แล้วหลายบริษัท วางจำหน่ายอยู่ทั่วไป เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด อ.ต.ก. ร้านของมูลนิธิศิลปาชีพ ร้านภูฟ้า และร้านโครงการหลวง
อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าวต่อไปว่า ผลหม่อนนั้นแต่เดิมนิยมปลูกอยู่ในภาคเหนือ ต่อมาได้ส่งเสริมให้มีการปลูกในภาคอีสาน และล่าสุดกรมหม่อนไหมได้ส่งเสริมให้มีการปลูกในภาคใต้ โดยนายอดิษฐ์ อินทร์สุวรรณ ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ นราธิวาส ร่วมกับทหารผ่านศึกของอำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ได้ส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของต้นหม่อนในด้านต่างๆ ในจังหวัดสงขลา นายมนูญ แสงจันทร์ศิริ เป็นเกษตรกรผู้ดูแลศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ และจัดให้ศูนย์ฯ แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตร เช่น การเลี้ยงแพะ กบคอนโดและเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ จึงเกิดแนวความคิดที่จะนำต้นหม่อนมาปลูกเพื่อใช้ในการเลี้ยงแพะและนำผลหม่อนมาแปรรูปเป็นน้ำหม่อน
ล่าสุดขอสนับสนุนต้นพันธุ์หม่อนจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ นราธิวาส จำนวน 200 ต้น เพื่อมาปลูกในพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ และได้เชิญชวนผู้สนใจในพื้นที่จังหวัดสงขลา อำเภอละ 1 คน เข้าร่วมกันเป็นเครือข่ายปลูกหม่อนผลสดเพื่อแปรรูป ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 5 อำเภอในจังหวัดสงขลา โดยนายมนูญ ได้ดำเนินการก่อสร้างโรงงานแปรรูปผลหม่อนตามแบบแปลนขององค์การอาหารและยา (อย.) และกำลังขยายสมาชิกออกไปอีก 5 อำเภอของจังหวัดสงขลา รับซื้อผลผลิตโดยประกันราคาที่กิโลละ 50 บาท ปัจจุบันสามารถจำหน่ายผลผลิตได้สัปดาห์ละประมาณ 1,000 ขวด ขวดละ 200 ซีซี ขายส่งราคาขวดละ 10 บาท รวมมีรายได้ 10,000 บาทต่อสัปดาห์
ผลหม่อนที่นำมาแปรรูปเป็นน้ำหม่อนที่จังหวัดสงขลานี้ ถือว่าเป็นสินค้าที่น่าจับตามอง เพราะได้รับความนิยมอย่างมาก และคาดว่าจะได้รับความนิยมไปในทุกจังหวัดของภาคใต้และขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้ต่อไปในอนาคต
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี