วันนี้ เราจะพูดกันถึงเรื่องของหนัง และพ.ร.บ.หนัง เหมือนดังที่บอกไว้เมื่อตอนที่แล้วมา...“หนัง” ในที่นี้คือ ภาพยนตร์ ทุกวันนี้มีอยู่ในทุกเชื้อชาติ, ทุกประเทศ, (ยกเว้นที่กำลังรบกันอยู่หรือผู้คนกำลังหนีหัวซุกหัวซุนอยู่) ทุกประเภท, ทุกเจตนาในการสร้าง และมีอยู่ใน “สื่อสมัยใหม่” ทุกรูปแบบ มิใช่มีอยู่เฉพาะในฟิล์ม เหมือนหนังในยุคแรกเริ่ม ที่นับตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ หนังมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี...“หนัง” เป็นทั้งศิลปะและเป็นทั้งสินค้าในเชิงพาณิชย์ และหนังถูกสร้างขึ้นด้วยเจตนาต่างๆ สารพัดเป้าหมาย นับตั้งแต่หนังที่สร้างดูกันเองในบ้านหรือในหมู่พรรคพวก, หนังที่สร้างสนองอารมณ์ของคนสร้างไม่สนธุรกิจ, เรื่อยไปจนถึงหนังที่ลงทุนใหญ่โตนับร้อยล้านพันล้านในหน่วยเงินของแต่ละประเทศ...โดยนัยกว้างๆ หนัง เป็นงานวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ของแปลกอันใด ที่หนังจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กร หรือหน่วยงาน ที่มีชื่อว่า “วัฒนธรรม” ของประเทศหลายประเทศในปัจจุบัน...สรุปว่า เราจะมอง “หนัง” กันในภาพกว้างๆ อย่างนี้ ส่วน “พ.ร.บ.หนัง” ที่เราจะพูดถึงด้วย คือ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 อันเป็นกฎหมายหนังฉบับล่าสุด ที่ประเทศไทยกำลังใช้อยู่ในปัจจุบัน...หัวข้อกว้างอย่างนี้ ถ้าจะมีใครขยันพูดจริงๆ เราสามารถจะมีเรื่องพูดกันได้สามวันสามคืนไม่จบ! แต่ในรูปแบบและเนื้อหาของคอลัมน์ “รอบรั้ววัฒนธรรม” เราจะทำเพียงแค่พูดกันพอหอมปากหอมคอ ถึงเรื่องหนัง กับเรื่องพ.ร.บ.หนัง ในช่วงสมัยกระทรวงวัฒนธรรมยุคปฏิรูปนี้ ว่า เราควรจะคิดและทำ เรื่องสองเรื่องนี้ให้มันปฏิรูปขึ้นอย่างไรดี?...เรื่องแรกที่จะพูด ขอเริ่มตั้งแต่ ข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่ง ที่ปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน ฉบับประจำวันพฤหัสฯของสัปดาห์ที่แล้วมา ข่าวนั้นเป็นข่าวล้อมกรอบเล็กๆพาดหัวบรรทัดเดียวว่า “สภาทนาย จี้แก้กฎหมายภาพยนตร์...เนื้อข่าวสืบเนื่องมาจาก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ตัดสินลงโทษผู้ขายซีดีเก่าริมถนน ในอัตราโทษที่สูง จนผู้ทำผิดไม่มีเงินเสียค่าปรับ ต้องยอมรับโทษกักขังแทนค่าปรับ ซึ่งในข่าวนั้นสภาทนายแสดงความเห็นว่า “คำพิพากษาของศาล สอดคล้องกับหลักนิติธรรมความโปร่งใสรวมทั้งหลักเกณฑ์ในการพิจารณา”...แต่ปัญหาอยู่ที่บทลงโทษของกฎหมาย เมื่อแรกออก คือเมื่อก่อนปี 2551 นั้น ค่อนข้างจะรุนแรง เพราะมีแรงกดดันจากต่างประเทศ ที่มักจะกล่าวหาไทยว่าไม่ให้ความร่วมมือด้วยดีนักกับมาตรการป้องกันเรื่องลิขสิทธิ์ กฎหมายก็เลยต้องกำหนดบทลงโทษไว้สูง”...แต่มาบัดนี้ กฎหมายถูกใช้มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และโลกก็เปลี่ยนแปลงจากเมื่อก่อนไปเยอะแล้ว ข้อเท็จจริงต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น จึงเห็นควรแก้ไข พ.ร.บ.ภาพยนตร์ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมยุคปัจจุบันให้มากขึ้น...ข่าวรายงานสั้นๆ ทิ้งไว้เพียงแค่นี้แล้วก็จบ! “กาน แอนด์ โก” เคยติดตามเรื่องราวเหล่านี้มาด้วยความเกี่ยวข้องในภาระหน้าที่การงาน จึงจำเป็นต้องยกเรื่องนี้มากล่าวถึงไว้เป็นเรื่องแรก ด้วยการบอกกล่าวป่าวร้องว่า ความคิด (และการกระทำ) ที่จะแก้ไข พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯให้ทันสมัยนั้น มีมานานไม่น้อยกว่าสามปีมาแล้ว...คณะทำงานปรับปรุงแก้ไข ถูกตั้งขึ้นคณะแล้วคณะเล่า ไม่รู้กี่ชุดต่อกี่ชุด! ข้อสรุปที่จะแก้ไข (ซึ่งรวมทั้งเรื่อง บทลงโทษที่อาจจะสูงเกินในบางกรณีเช่นนี้) ก็มีแล้ว แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พอรัฐมนตรีเปลี่ยนที ปลัดเปลี่ยนที อธิบดีเปลี่ยนที เรื่องที่คิดจะแก้ไขพระราชบัญญัตินี้ก็กลายเป็นเรื่องรองไปหมด...เพราะเรื่องหลักกลายเป็นงานเร่งด่วนของรัฐมนตรี ที่ท่านมาจากสีหนึ่ง ท่านก็อยากจะเน้นงานอย่างหนึ่ง ต่างสีก็ต่างงานกัน และยิ่งกว่านั้น ต่างปลัด ต่างอธิบดี ก็ต่างวิธีการที่จะสนองนโยบายนาย หรือ รัฐมนตรีเพื่อรักษาตัวท่านให้รอดเข้าไว้ก่อน นั่นเป็นของแน่...เพราะฉะนั้นแฟ้มเรื่องการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ปี 2551 จึงดูเหมือนจะเงียบหายไป ตั้งแต่ยุคหลวงพี่เทพท่านลุกขึ้นปลุกมวลมหาประชาชนโน่น จนถึงวันนี้ เรื่องจะไปอยู่ที่ไหน อย่างไร? ก็ดูเหมือนจะอยู่ไกลเกินการรับรู้ของ “กาน แอนด์ โก” ไปเสียแล้ว...แต่ยืนยันได้แน่นอนว่า ความคิดเรื่อง พ.ร.บ.นี้ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขนั้นมีมานานแล้วและการกระทำนั้น คนที่มีหน้าที่ใช้พ.ร.บ.นี้ เขาก็ร่วมคิดรวมทำกันมานานแล้ว แต่ทุกวันนี้เรื่องยังไปไม่ถึงไหน เพราะ เหตุใด?! ถ้ารัฐมนตรีสนใจ ก็คงให้คนติดตามดูได้ “กาน แอนด์ โก” จะไม่พูดให้ใครกระเทือนซางกันดีกว่า...นี่เป็นเรื่องราวของ “หนังและพ.ร.บ.หนัง” ฉากแรก ในซีรี่ส์ยาวชุดนี้ที่เรื่องราวต่อไป จะมีอะไรที่น่ารู้กว่านี้อีก
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี