วันอาทิตย์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2568
1 ธ.ค. 57 เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดียักยอกทรัพย์ ธนาคารบีบีซี หมายเลขดำที่ ด.6206/2543 ที่พนักงานอัยการกองคดีเศรษฐกิจ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด หรือบีบีซี (เสียชีวิต) , นายเอกชัย อธิคมนันทะ อายุ 65 ปี อดีตผช.กก.ผจก.ใหญ่ บีบีซี , นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ อายุ 55 ปี อดีต ผอ.สำนักบริหารเงินและวิเทศทนกิจ และอดีตผช.กก.ผจก.ใหญ่บีบีซี , นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ อายุ 67 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยาม แมสคอนสตรัคชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทขอกู้สินเชื่อกับบีบีซี และอดีตนักการเมืองกลุ่ม 16 อดีต ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย , นายมาโนช เชาวรัตน์ อายุ 56 ปี อดีตกรรมการบริษัท สยามแมสฯ , นายฉัฐวัสส์ หรือวีรพล มุตตามระ อายุ 58 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามแมสฯ และอดีตนักการเมืองกลุ่ม 16 , บริษัท อเมริกันแสตนดาร์ด แอ๊พเพรซัล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับจ้างประเมินราคาทรัพย์สิน และนายไพโรจน์ ซึ่งศิลป์ อายุ 64 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทอเมริกันแสตนดาร์ด (ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษฯ) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ซึ่งได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไปโดยทุจริต หรือร่วมกันยักยอกทรัพย์ , ผู้ใดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินได้กระทำผิดต่อหน้าที่ของตนโดยทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายกับทรัพย์สินนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352-354 และความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 304, 308, 321, 313, 315 และ 334
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 26 ม.ค. - 1 มิ.ย. 2537 พวกจำเลยได้ร่วมกันทำหนังสือของบีบีซี ถึงบริษัทสยามแมสฯ เสนอรับเป็นที่ปรึกษาในการซื้อหุ้นที่จะครอบงำกิจการด้านประกันภัย ต่อมาจำเลยที่ 4-8 ร่วมกันขอสินเชื่อจากบีบีซี 570 ล้านบาท เพื่อนำเงินไปซื้อหุ้นกิจการบริษัทประกันภัย โดยพวกจำเลยได้เสนอหุ้นจำนวน 6 ล้านหุ้น พร้อมที่ดิน อ.แม่จัน จ.เชียงราย จำนวน 51 แปลง อ้างราคาประเมิน 405,900,000 บาท ใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ ต่อมาระหว่างวันที่ 3 มี.ค. - 30 พ.ย. 2538 จำเลยที่ 2 ยังได้อนุมัติสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีให้กับจำเลยที่ 4 -6 จำนวน 655,649,408 บาท โดยไม่ผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อของบีบีซี อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จนมีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 1,014,894,086.49 บาท ซึ่งบีบีซีได้รับเงินบางส่วนคืนแล้ว คงเหลืออีกจำนวน 732,982,485.15 บาท จึงขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวคืนแก่บีบีซีด้วย โดยพวกจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานเห็นว่า การอนุมัติสินเชื่อของจำเลยที่ 1 ให้กับบริษัทสยามแมสฯ จำนวนหลายครั้ง โดยไม่ผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง เป็นการกระทำโดยมิชอบ ทั้งที่ ความจริงแล้วบริษัทสยามแมสฯ มีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท และไม่มีหลักประกันเพิ่มเติม การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการอนุมัติสินเชื่อที่ผิดปกติวิสัยและไม่คำนึงถึงหลักประกันการชำระหนี้ ทั้งบริษัทสยามแมสฯ มีหนี้ค้างชำระแก่ ธนาคารโจทก์ร่วมจำนวนมาก การกระทำของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นการทุจริต เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและพวกพ้อง ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของธปท. พยานหลักฐานจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดโดยทุจริตตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 2 , 3 พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก จึงลงโทษจำเลยทั้งสองไม่ได้
สำหรับจำเลยที่ 4-6 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จำเลยที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสยามแมสฯ ได้ขอร้องจำเลยที่ 4-5 มาเป็นกรรมการบริษัทสยามแมสฯ แทนชั่วคราว ซึ่งพยานโจทก์เบิกความว่าไม่เคยเห็นจำเลยที่ 4-5 มาติดต่อธุระที่บีบีซี นอกจากนี้จำเลยที่ 6 ยังเคยทำบันทึกข้อเท็จจริงถึงบีบีซีและโจทก์ร่วม ขณะที่ยังถูกทวงถามการชำระหนี้ด้วย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นกรรมการบริษัทสยามแมสฯ แทนชั่วคราวโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยที่ 4-5 ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการ พยานโจทก์จึงยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 4-5 มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย
ส่วนจำเลยที่ 6 แม้จะไม่ได้เป็นผู้อนุมัติสินเชื่อก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยและคำเบิกความของพยานโจทก์สนับสนุนว่า จำเลยที่ 6 เป็นผู้ขอสินเชื่อและได้มีการโอนเงินของโจทก์ร่วมเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จำนวนหลายครั้ง ซึ่งจำเลยที่ 6 ก็ไม่ได้พยานเข้าสืบหักล้างว่าเงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไรและนำมาเข้าในบัญชีของตนเองได้อย่างไรจึงมีข้อพิรุธ พยานหลักฐานจึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 6 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดทำให้โจทก์ร่วมเกิดความเสียหายกว่า 732 ล้านบาท
ส่วนจำเลยที่ 7-8 พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดีในส่วนนี้ ซึ่งจำเลยเพียงแต่ทำการประเมินราคาที่ดินให้กับผู้ว่าจ้าง พฤติการณ์จึงยังรับฟังไม่ได้อย่างสนิทใจว่ารู้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 6 ที่นำหลักทรัพย์ไปใช้ขอสินเชื่อและยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีส่วนในการสนับสนุนการกระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และ 6
พิพากษาว่า จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.352 ประกอบ ม.83 , 353 -354 ประกอบ 86 และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 4 , 307, 308 , 311 ประกอบ 315 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 31 กระทง ปรับกระทงละ 1 ล้านบาท รวมจำคุก 155 ปี ปรับ 31 ล้านบาท แต่ให้จำคุกได้สูงสุด 20 ปี ตามกฎหมาย และให้ชดใช้เงินคืนให้กับโจทก์ร่วมจำนวน 732,982,485.17 บาท และยกฟ้องจำเลยที่ 2 , 3 , 4 , 5 , 7 และ 8 แต่ให้ขังจำเลยที่ 4-5 ไว้ระหว่างอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ธ.ค.) จำเลยที่ 2 , 4 , 5 , 7 และ 8 เดินทางมา ส่วนนายเกริกเกียรติ จำเลยที่ 1 ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2555 ด้วยโรคมะเร็งในปอด ที่ รพ.บำรุงราษฎร์ ขณะอายุ 63 ปี ศาลจึงให้จำหน่ายคดีนายเกริกเกียรติ ออกจากสารบบความ จำเลยที่ 3 ป่วยหนัก ส่วนนายฉัฐวัสส์ จำเลยที่ 6 ไม่เดินทางมา ศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว วันนี้จึงอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 6 ตามกฎหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี