ถ้า‘ชีวิต’ของประชาชนเป็นเรื่องเล็ก
ยังมีเรื่องอะไรที่ใหญ่กว่า‘ชีวิต’ของประชาชน
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. และ เลขาธิการ คสช. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึง สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเพราะเกิดเหตุในพื้นที่ ไม่กี่แห่ง และ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ส่วนหน้า
มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาอยู่แล้ว
แน่นอนว่า สถานการณ์ความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ “ลากยาว” มาเป็นปีที่ 10 อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ ในความรู้สึกของใครต่อใคร รวมทั้ง ผู้คนที่ไม่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพราะข่าวสารความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกกล่าวถึง พบเห็น จนเป็นเรื่อง ปกติที่ “ชาชิน” ไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีกต่อไปแล้ว
รวมทั้งการที่ คนร้าย ปฏิบัติการ แขวนป้ายผ้า ต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ ในวันที่ 1 ธันวาคม หลายสิบจุดใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเหตุการณ์ที่คนร้าย แขวนป้ายผ้าต่อต้านเจ้าหน้าที่ เคยเกิดขึ้นนับ 100 จุด โดยที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็ไม่รู้สึก “เสียหน้า” แต่อย่างใด กับการ “ล้อเล่น” ที่หลายคนเห็นว่า คือการ “เหยียบหน้า” เจ้าหน้าที่ในพื้นที่อย่าง “เต็มรัก” นั่นเอง
แต่ในความรู้สึกของ คนในพื้นที่ สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นยังเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องมีมาตรการ ในการป้องกันชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ให้รอดพ้นจากการเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์ โดยรัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการดับ “ไฟใต้”
ถ้าหน่วยงานความมั่นคง เห็นว่ายังจำเป็นที่จะต้องใช้ กำลัง ทหาร ตำรวจ ในการปฏิบัติการต่อกลุ่ม “คนร้าย” หรือ “แนวร่วม” ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม หรือ “วิสามัญ” ก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งในชุมชนเมือง และในป่าเขา เพื่อ“บีบ” พื้นที่ให้แคบลง เพื่อให้คนร้าย หรือ “แนวร่วม” ล่าถอยออกจากพื้นที่ ไม่ใช่ทำแบบ ทำๆ หยุดๆ หรือเป็นนโยบายของผู้นำหน่วยแต่ละ ฉก. แต่ละพื้นที่ ซึ่งไม่มีการประสานแผนกัน
เช่น ฉก.นราธิวาส ไม่มีแผนในการเปิดเกม “รุก” ในขณะที่ ฉก.ปัตตานี ใช้แผนในการเปิดเกม “รุก” ทำให้คนร้ายจากปัตตานี สามารถล่าถอยจากพื้นที่ปัตตานี เข้าไปหลบซ่อนในนราธิวาส เพื่อรอโอกาสในการก่อกวน และปฏิบัติการต่อเป้าหมาย เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ และเป้าหมาย “อ่อนแอ” ที่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์
เช่น การใช้แผน “ทุ่งยางแดงโมเดล” ใน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส คนร้าย หรือ “แนวร่วม” ก็ถอนตัวจาก อ.รือเสาะ และ อ.ทุ่งยางแดง ไปรวมตัวในพื้นที่อื่นๆ ในการสร้างฐานกำลังสร้างมวลชนในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้ใช้แผน “ทุ่งยางแดงโมเดล” เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น
เช่น ใน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งเป็น “รอยต่อ” กับ อ.กาบัง จ.ยะลา และ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ “หลบซ่อน” เป็นที่ “ซ่องสุม” กำลังของคนร้าย เพื่อไปปฏิบัติการต่อ “เป้าหมาย” ในพื้นที่ จ.ปัตตานี และ จ.ยะลา และ จ.สงขลา แต่ไม่มีการใช้แผน “ทุ่งยางแดงโมเดล” ที่ อ.สะบ้าย้อย เมื่อยังให้พื้นที่ “สะบ้าย้อย” เป็นที่ ซ่องสุม” กำลังของคนร้ายพื้นที่อื่นๆ ก็ไม่มีความปลอดภัย เพราะฐานปฏิบัติการที่ “สะบ้าย้อย” ยังไม่ถูกกวาดล้าง
ในขณะเดียวกัน นโยบายของ “ตำรวจ” ต้องชัดเจน ไม่ขัดแย้งกันเอง เช่น พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณะการะเกด ผบช.ศชต. ให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชน ว่า จะไม่ใช้ความรุนแรงไม่ใช้กำลังเจ้าหน้าที่ ต่อ “เป้าหมาย” โดยจะไม่ให้เห็นภาพตำรวจจำนวนมากเข้าล้อมจับตรวจค้น และ “วิสามัญ”
แต่ในขณะเดียวกัน พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบช.ศปก.ตร. ซึ่งทำหน้าที่อยู่ “ส่วนกลาง” มีความเป็น “อิสระ” ในการสั่งการ และใช้กำลังตำรวจ ทหาร เข้าปิดล้อมตรวจค้นจับกุม และ “วิสามัญ” คนร้ายที่ต่อสู้ ขัดขืนการจับกุม
เมื่อนโยบาย ระหว่าง ผบช.ศชต. และ รอง ผบช.ศปก.ต่างกัน ความเป็น “เอกภาพ” จึงไม่เกิดขึ้น และผู้รับเคราะห์ คือประชาชนที่เป็นเป้าหมาย “อ่อนแอ” ที่ช่วยตนเองไม่ได้
ที่นำเรื่องนี้มาเขียนถึง “อีกครั้ง” ทั้งที่เคยเขียนมาหลายครั้งแล้ว และในหลายๆ ครั้งมักถูก กล่าวหาว่าเป็นการเขียนที่ เข้าข้างคนร้าย เป็นเพราะ วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังสานต่อนโยบายการพูดคุย “สันติสุข” ระหว่าง ขบวนการผู้เห็นต่างจากรัฐ โดยมีประเทศมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวก ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเริ่มต้น “พูดคุย” เมื่อไหร่ สิ่งที่ต้องทำคือ การ “ยุติ” ความรุนแรง เพื่อเข้าสู่ขบวนการ”สันติวิธี”
แต่ถ้าหน่วยงานในพื้นที่ยังต่างหน่วยต่างทำ ต่างคนต่างมีวิธีคิด วิธีการปฏิบัติการของตนเอง การที่จะหยุดความ “รุนแรง” ในพื้นที่ คงจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไม่เคยมีเวทีการ “พูดคุยสันติสุข” ที่ไหนในโลก ที่ประสบความสำเร็จในการ “พูดคุยสันติสุข” โดยที่ไม่หยุดความรุนแรงทั้งสองฝ่าย
ซึ่งวันนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยังพบว่า หน่วยงานความมั่นคง ที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แม้จะเป็น “สีเดียวกัน” แต่วิธีการในการแก้ปัญหายังเป็นแบบ “ของใครของมัน” ไม่ได้เป็นไปแบบ “โมเดล” เดียวกัน ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุนี้ก็ได้ที่ความรุนแรง จึงยังไม่จบ
ดังนั้น จึงไม่เพียงแต่ “ตำรวจ” ที่ “สีเดียวกัน” มี “นาย” คนเดียวกัน แต่มีนโยบายในการปฏิบัติการที่ต่างกัน ในส่วนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็มีลักษณะเดียวกัน เพราะในขณะที่ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ส่วนหน้า ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงการ ใช้ “สันติวิธี” และการลด “เงื่อนไข” ในพื้นที่ แต่ ผบ.ฉก. ในพื้นที่หลายแห่ง ในหลายจังหวัด ยังมีใช้ “ความรุนแรง” และยังมีการสร้าง “เงื่อนไข” เช่น ล่าสุดมีการทำร้าย “เด็กแว้น” จนเสียชีวิต ทั้งที่มีวิธีการในการหลีกเลี่ยงที่จะใช้ความรุนแรงได้
การพยายาม มองว่า สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องไม่หนักใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพื่อให้ ประชาชนที่ไม่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สนใจกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น และพยายามที่จะผลักภาระในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไปอยู่บนบ่าไหล่ของ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้นำท้องที่ อาสามัคร และ ชรบ. ในการป้องกันหมู่บ้านของตนเอง น่าจะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เพราะหน้าที่ในการรักษาความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหน้าที่โดยตรงของ ตำรวจ และ ทหาร
และเมื่อมองถึง “เม็ดเงิน” งบประมาณในปี 2558 ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้งบ เจ็ดพันกว่าล้าน ศอ.บต.ได้งบสองพันกว่าล้าน และงบประมาณที่ฝ่ายปกครองได้รับมีเพียง สองพันกว่าล้าน แต่จะผลักภาระการรักษาความสงบให้กับฝ่ายปกครอง จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
และหวังว่า เรื่อง “ไม่ใหญ่” ที่ผู้หลักผู้ใหญ่เห็นกันในวันนี้อาจจะเป็น “เรื่องใหญ่” ในอนาคต เพราะโดยข้อเท็จจริง สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ “ปลายด้ามขวาน” ยังเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าความเป็นความตายของประชาชนแบบ “รายวัน” ไม่เป็นเรื่องใหญ่ บอกหน่อยเถอะว่า จะมีเรื่องอะไรอีก ที่ใหญ่กว่า “ชีวิต” ของประชาชนผู้ “บริสุทธิ์” ที่กลายเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์
เมือง ไม้ขม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี