“เราอาจต้องมาเริ่มต้นด้วยการคิดว่า ประเทศของเรา สังคมของเราในศตวรรษที่ 21 นั้น ควรจะมีหน้าตาอย่างไร เมื่อคิดตรงนี้ได้แล้วก็คงจะต้องมองต่อไปว่า แล้วคนที่เราต้องการที่เหมาะกับบริบทของการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตมากอย่างนั้นเราต้องการคนประเภทใด ด้วยเหตุนี้ทางสถาบันการศึกษาต่างๆ ต้องเอาโจทย์นั้นไปคิดว่าเมื่อสังคมต้องการอย่างนี้ ต้องการคนประเภทนี้ บัณฑิตที่เราผลิตออกไปควรมีหน้าตาอย่างไร หรืออีกนัยหนึ่งมีลักษณะพึงประสงค์อย่างไร ตรงนี้ก็อาจมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปซึ่งไม่เหมือนกัน แต่คงจะมีจุดรวมที่คล้ายกัน เช่น เราบอกว่าลักษณะที่พึงประสงค์นั้นต้องเป็นคนเก่ง คนดี มีความใฝ่รู้หาความรู้ตลอดชีวิต ก็ต้องนั่งคิดต่อไปว่าคำว่าคนเก่งนั้นต้องเก่งอย่างไรบ้าง เช่น จะต้องคิดเป็น เวลาเราไปอ่านไปได้ยินอะไรมาก็ต้องอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรน่าจะเป็นข้อเท็จจริงมากกว่ากันแค่ไหน”
ศาสตราจารย์ นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, อดีตคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯสภากาชาดไทย ที่ปรึกษาโครงการวิจัยและการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาค องค์การอนามัยโลก
จากแนวคิดของ ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล คือการตอกย้ำให้เด่นชัดว่า แวดวงการศึกษาไทยเท่าที่ผ่านมา แม้จะมีการปฏิรูปกันมาหลายครั้ง แต่ก็ยังขาดความสมบูรณ์ และเมื่อโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 21 ที่กำลังเกิดขึ้นก็ยิ่งดูเหมือนว่า คนไทยจะต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ให้มากที่สุด เพราะเท่าที่ผ่านมา การศึกษาไทยของเรายังขาดการปูพื้นฐานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเรื่องของการเรียนเพื่อคิด
ข้อบกพร่องของคนส่วนใหญ่ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้คือ การไม่มีสติในการคิด ในการตริตรอง ได้ยินได้รับรู้อะไรมาก็จะเกิดความเชื่อไปตามทิศทางนั้นๆ ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดกลายเป็นปัญหาของสังคมทั้งโดยทางตรง และทางอ้อม ยิ่งโดยเฉพาะสังคมโลกทุกวันนี้ เรื่องของสารสนเทศก้าวหน้าออกไปมาก การเผยแพร่ข่าวสารถึงกันและกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการที่การสื่อสารสามารถเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็วนี้ ย่อมเป็นโทษสำหรับสังคมที่ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ และเราก็ต้องยอมรับว่า สังคมไทยเวลานี้ ยังไม่หลุดจากวงจรของความขัดแย้งในสังคม
ความหวังของคนไทย สังคมไทยจึงต้องสร้างคุณภาพของคนให้ รู้คิด รู้ฟัง และรู้เท่าทันความจริงด้วยการบ่มเพาะในด้านการศึกษา ที่ควรจะต้องเริ่มตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงระดับบนสุด
หน้าที่ของกระทรวงศึกษาฯ จึงน่าจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคที่เรากำลังจะต้องก้าวข้ามสู่ทศวรรษที่ 21 ทศวรรษแห่งการกระจายข่าวสารที่รวดเร็ว
แต่ความสำเร็จในการก้าวข้ามแรงกระเพื่อมของวิกฤติในสังคมได้หรือไม่นั้น ดูจะริบหรี่เต็มที เพราะในสังคมการศึกษาเองยังดิ้นไม่หลุดในปัญหาของตัวเองที่ก่อตัวและผูกรัดมานานนับเป็นสิบๆ ปีแล้วเหมือนกัน
ชนิตร ภู่กาญจน์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี