ผมได้เขียนบทความเรื่อง กระทรวงพาณิชย์ : กำลังปฏิรูปโครงสร้างการผลิตการเกษตร ตอนที่ 1 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557 เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ยุทธศาสตร์สินค้าเกษตร 4 ชนิด ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน โดยได้กำหนดการลดพื้นที่ปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม และขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชทั้ง 4 ชนิด แทน ภายใต้ความเชื่อที่ว่า “การเพิ่มปริมาณพื้นที่เพาะปลูกนั้น จะเป็นแผนยุทธศาสตร์ที่ผลักดันให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านภายใต้กรอบอาเซียนได้อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเกษตรกรผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจได้ในอนาคต” และได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์เป็นรายพืชติดต่อกันมาจนถึงตอนที่ 6
ในตอนที่ 7 นี้ ผมขอสรุปว่า ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากข้อเสนอของพ่อค้าผ่านคณะกรรมการ กรอ. ที่เสนอต่ออนุกรรมการร่วมจัดทำยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรเป็นรายพืชเศรษฐกิจ 4 สินค้า (Roadmap) ดังได้กล่าวมาแล้ว การที่ผมได้วิพากษ์วิจารณ์ยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยแสดงความไม่เห็นด้วย เพราะการขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับบรรดาพ่อค้าเหล่านี้ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะขนาดพื้นที่เพาะปลูกพืช 4 ชนิด ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ราคาของสินค้าพืชเหล่านี้ก็ยังมีการขึ้นลงตามภาวการณ์ตลาดโลก และการกำหนดราคาของพ่อค้าเหล่านี้ บางครั้งราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังตกต่ำ รัฐบาลก็ต้องใช้มาตรการเข้ามาแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโดยการรับจำนำโดยใช้วงเงินเป็นจำนวนมหาศาล มีการทุจริตเกิดขึ้นในกระบวนการดังกล่าวทุกขั้นตอน เช่นเดียวกับการรับจำนำข้าว ราคาปาล์มน้ำมันก็เช่นเดียวกัน พอราคาปาล์มน้ำมันในประเทศสูงขึ้น รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ก็ให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ราคาปาล์มน้ำมันในประเทศตกต่ำลง แล้วรัฐบาลก็มาแทรกแซงราคาอีก ส่วนราคาอ้อยก็มีความผันผวนขึ้นลง ตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลก เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด
การเพิ่มพื้นที่ปลูกพืช 4 ชนิด เป็นการเพิ่มปริมาณผลผลิต โดยการขยายพื้นที่เพาะปลูกไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแต่ประการใด แต่ปริมาณผลผลิตที่ออกมาจะเกินกว่าความต้องการของการบริโภคภายในประเทศอย่างแน่นอน จะมีผลทำให้ราคาพืชผลเหล่านี้ตกต่ำไปอีก ผลประโยชน์ก็จะตกอยู่แก่บรรดาพ่อค้า และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นโรงสีข้าว ลานมัน โรงงานแปรรูป และผู้ส่งออก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้ผลประโยชน์จากการกดราคาสินค้าเกษตรเหล่านี้มาโดยตลอด กลายเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวย เป็นเศรษฐีในระดับท้องถิ่น ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ และเมื่อใดที่ราคาสินค้าเกษตรเหล่านี้สูงขึ้น ก็พยายามผลักดันให้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น กรณีของน้ำมันปาล์มที่เกิดขึ้นเกือบทุกปี หรือมีการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือมันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการทำร้ายเกษตรกรไทย แต่พ่อค้าเหล่านี้ได้ประโยชน์จากนโยบายการนำเข้าและการลักลอบนำวัตถุดิบมาจากต่างประเทศ
รัฐบาลได้กำหนดนโยบาย และแนวทางการพัฒนาประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ยุทธศาสตร์ของพืชเศรษฐกิจทั้ง 4 ชนิดดังกล่าวนี้ ไม่ได้สนองพระราชดำริของพระองค์ท่านแต่ประการใด เป็นยุทธศาสตร์ที่ตอบสนองความต้องการของพ่อค้า และอุตสาหกรรมที่ผ่านมาทางคณะกรรมการ กรอ. และไม่มีหลักประกันใดๆ เลยว่า การลดพื้นที่การปลูกข้าว และไปปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน เกษตรกรจะมีรายได้ดีกว่าเดิม ไม่มีหลักประกันเรื่องราคาที่เกษตรกรจะขายได้ และหากเกษตรกรที่เปลี่ยนแปลงอาชีพการทำนาไปปลูกพืชเหล่านี้ประสบความล้มเหลว ผลผลิตราคาตกต่ำ ผลตอบแทนน้อยกว่าการทำนา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ คณะกรรมการ กรอ. พ่อค้าที่เป็นผู้เสนอยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ จะรับผิดชอบอย่างไร มีหลักประกันที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเกษตรกรได้อย่างไรหากดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล
ผมจะขอเสนอข้อคิดเห็น เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องนำไปพิจารณาในตอนต่อไป
อนันต์ ดาโลดม
นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี