เห็นข่าวเรื่องกระทรวงสาธารณสุขจะดันกฎหมายห้ามขายเหล้าในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่แล้ว ก็ชวนให้สงสัยต่อว่าท่านจะผลักดันกฎระเบียบนี้ได้อย่างไร เมื่อพิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยแล้ว วันรุ่งขึ้นกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารตลอดจนสถานบันเทิงที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ออกสื่อค้านสุดกำลัง โดยยิงคำถามตรงประเด็นว่า “สิ่งที่อยากตั้งคำถามคือการรณรงค์ต่างๆ ที่ผ่านมามันได้ผลจริงหรือไม่”บรรดาผู้ประกอบการยังได้วอนขอความเห็นใจรัฐบาลเพราะภาคธุรกิจนั้นได้รับผลกระทบจากประกาศเคอร์ฟิวมานาน
อันที่จริง หากท่านติดตามความเคลื่อนไหวด้านนิติบัญญัติจากภาคสาธารณสุขไทยจะเห็นว่า กระทรวงคุณหมอนั้นมีกฎหมายหินๆ ที่เร่งผลักดันกันอยู่เป็นระยะไม่ขาดสาย แต่เกือบแทบจะทุกร่างกฎหมายที่ต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากภาคประชาชนต่างๆ ไล่เรียงมาตั้งแต่ พรบ. ยาที่ยังคงอยู่ในสถานะ “เสียงแตก” และยังเป็นชนวนปะทุให้เกิดการขัดแย้งและต่อต้านซึ่งเรียกมวลชนและเอ็นจีโอมาร่วมประท้วงได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขนั้นไม่ต้องพูดถึง เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่แตะปัญหาหยั่งรากลึกของระบบบริการสุขภาพของสังคมไทยที่ทุกฝ่ายและผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มยังคงจะต้องถกกันอีกยาวกว่าจะได้ข้อสรุป
ล่าสุดอีกหนึ่งผลงานจากสธ. ในการออกมาประกาศที่จะผลักดันร่างพ.ร.บ. ควบคุมการบริโภคยาสูบโดยกล่าวว่าจะเร่งนำร่างเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ทันภายในปีนี้ โดยอ้างอิงถึงพันธะสัญญาของประเทศไทยที่ได้เป็นเซ็นรับรองกฎหมายควบคุมยาสูบโลกไว้ ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ” ในขณะเดียวกัน สื่อได้รายงานถึงการเคลื่อนไหวต่อต้านและแสดงความไม่เห็นด้วยของผู้ที่อยู่ในวงอุตสาหกรรมยาสูบอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ผมเห็นพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ยาสูบในจ.สุโขทัยได้รวมตัวกันกว่า 200 คนทำกิจกรรมปล่อยลูกโป่งสีเขียวพร้อมเขียนจดหมายน้อยถึงท่านนายกรัฐมนตรี พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชาเพื่อขอให้ทบทวนร่างกฎหมายควบคุมยาสูบใหม่ฉบับนี้ ก่อนหน้านี้ทางสมาคมการค้ายาสูบไทยร่วมกับอีกเก้าสมาคมยาสูบออกแถลงคัดค้านร่างตัวนี้อย่างถึงพริกถึงขิง พร้อมเปิดโพลล์ร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่เรียกว่า “โชห่วย” ทั่วประเทศ ซึ่งสมาคมการค้ายาสูบไทยร่วมกับนิด้าโพลล์จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นร้านค้าปลีกที่มีต่อร่างพ.ร.บ. นี้พบว่า ร้อยละ 79 ของร้านโชห่วยเชื่อว่าร่างกฎหมายฉบับจะสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจของร้านค้า ในขณะที่ร้อยละ 90 ของร้านบอกว่าการเร่งผลักดันร่างพ.ร.บ. ควบคุมยาสูบฉบับใหม่ไม่ใช่ประเด็นเร่งด่วนที่ คสช. คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมองว่าน่าจะขัดแย้งกับความตั้งใจของรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศและเร่งสร้างบรรยากาศ “ทำมาค้าขึ้น” โดยเร็ว
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขพยายามเร่งสร้างผลงานนำเสนอคณะท่านผู้นำอย่างเต็มสูบก่อนจะปิดท้ายปี เหนือไปกว่ามิติสุขภาพแล้ว แรงต้านจากผู้ได้รับผลกระทบในภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะมิติของสังคมและเศรษฐกิจนี้ได้นำไปสู่การรายงานข่าวถึงความเห็นและความ “ห่วงใย” จาก “บิ๊กตู่” ท่านประยุทธ์ จันทร์โอชาถึงห้วงบรรยากาศของสังคมที่ต้องปะทะกับความขัดแย้งและแตกแยกอยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวใดๆ ทางด้านนิติบัญญัติ เช่นการผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ หากจะก่อให้เกิดความแตกแยก ก็ควรจะมีการพูดคุยทำความเข้าใจ รับฟังเสียงของผู้ได้รับผลกระทบกันให้หมดจดเสียก่อน โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “โดย สธ. นั้น นายกฯห่วงเรื่องการออกกฎหมายหลายฉบับที่ยังมีความเห็นแตกต่างกัน ซึ่งจะต้องเร่งทำประชาพิจารณ์ให้แล้วเสร็จ ซึ่งตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่ ก็แล้วเสร็จ เตรียมที่จะเสนอเข้า ครม. เร็วๆ นี้ ส่วนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ซึ่งยังเป็นปัญหาระหว่างผู้ปฏิบัติงานและผู้ป่วย คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเห็นว่าต้องดำเนินการต่อ แต่จะต้องมารับฟังความเห็นเพิ่มเติมเพื่อปรับแก้ให้เกิดความเป็นธรรม” (ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้จัดการออนไลน์27 พ.ย. 57)
จะเห็นได้ว่า “ปัญหาร่วม” ของร่างกม. หลายๆ ฉบับของสาธารณสุขขณะนี้ก็คือ เสียงของผู้ได้รับผลกระทบนั้นยังคงไปไม่ถึงผู้ออกกฎหมายมากเท่าที่ควร ปัญหาเดิมๆ ของสังคมไทยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของภาคประชาชนในกระบวนการนิติบัญญัติที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ อาชีพ รายได้และสวัสดิการด้านสุขภาพของพวกเขา ต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้ออกกฎหมายหรือ “เรกูเลเตอร์” ของบ้านเราประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิไม่กี่กลุ่มและที่สำคัญ “หน้าเดิมๆ” ที่มีความคิดเห็นเป็นขั้ว เป็นข้างและมีอิทธิพลต่อข้าราชการกระทรวงมากพอสมควร ยกตัวอย่างร่างพรบ.ห้ามขายเหล้าหรือร่างพรบ. ควบคุมการบริโภคยาสูบ แม้ความรู้สึกหรือกระแสสังคมอาจจะมองว่าเป็นสินค้าที่ส่งผลต่อสุขภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าคณะเรกูเลเตอร์ของสธ. จะละเลยไม่ฟังเสียงกลุ่มผู้เสียหายที่ประกอบไปด้วยทั้งชาวไร่ยาสูบ ร้านค้าปลีกที่ขายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นรากหญ้าที่เรียกได้ว่าเป็น “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจภายในประเทศ หากท่านเห็นกลุ่มชาวไร่หรือร้านค้าปลีกออกมาประท้วงร่างควบคุมยาสูบใหม่
หากท่านเห็นภาคประชาชนและเครือข่ายผู้เข้าไม่ถึงยาออกมาประท้วงพรบ. ยา หรือแม้แต่บุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรมเองก็ยังขัดแย้งกับในเรื่องพรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย ท่านจะออกมาวิพากษ์ว่ากลุ่มคนเหล่านี้สร้างความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมหรือไม่ หรือเป็นเพราะตัวบทกฎหมายที่เรกูเลเตอร์พยายามบังคับใช้นั้นสร้าง “ความหวาดหวั่น”และเป็นภัยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจริงๆ ท่านจะต้องไม่ลืมว่ากลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่อยู่ในเขตพื้นที่ทั้งภาคเหนือและภาคอีสานนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปลูกยางที่ต้องการส่งเสียงสะท้อนความกังวลของพวกเขา ต้องการให้รัฐบาลยอมรับและไม่ละเลยหรือออกกฎหมายใดๆ ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกถูกรังแก ซ้ำเติมหรือทอดทิ้งเพราะพวกเขามีภูมิลำเนาหาเช้ากินค่ำอยู่ในเขตพื้นที่ของขั้นรัฐบาลเก่า
สาธารณสุขควรจะแตะเบรกหรือชะลอการผ่านกฎหมายที่ยังคงสร้างความขัดแย้งเหล่านี้ไว้ก่อนหรือไม่ นอกจากชะลอเครื่องแล้วยังไม่พอ สาธารณสุขควรจะมีกระบวนการรับฟัง และ “ได้ยิน” เสียงและข้อกังวลของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบอย่างแท้จริงด้วยและต้องให้แน่ใจว่าเวทีประชาพิจารณ์ที่ท่านจัดนั้นไม่เพียงแต่เป็น “พิธีกรรม” หรือเช็คลิสท์ที่ทำเพื่อให้ผ่านกระบวนการไปได้เท่านั้น ผมคิดว่า ข้อสังเกตและความห่วงใยของท่านพล.อประยุทธ์ จันทร์โอชาในเรื่องข้อกฎหมายที่ยังสร้างความขัดแย้งนี้เป็นประเด็นที่สมควรได้รับการคิดต่อและต่อยอดอย่างจริงจัง หากน้ำยังไม่สะเด็ด ท่านไม่ควรจะรีบนำร่างต่างๆ เหล่านี้ขึ้นเสนอ เพราะนั่นย่อมไม่ใช่การปฏิรูปที่ยั่งยืนและสาธารณชนอาจจะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น และยังมีคำถามที่ยังตอบไม่ได้ว่า “การรณรงค์ต่างๆ ที่ผ่านมามันได้ผลจริงหรือ” ด้วยความห่วงใยครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี