“ไม่เอาเขื่อน...เขื่อนทำลายป่า...เขื่อนแก้ไขปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งไม่ได้...NO DAM...” คำเหล่านี้และอีกหลายๆคำ ที่จะเห็นบ่อยเมื่อมีการประท้วง ต่อต้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของรัฐบาล
ปัจจุบันมีการตื่นตัวของการอนุรักษ์ป่าไม้ค่อนข้างมาก จนบางครั้งทำให้การพัฒนาในด้านต่างๆสะดุด โดยเฉพาะการพัฒนาแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ ส่งผลกระทบต่อโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางหลายโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกันความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ เชื่อว่า อีกไม่นานจุดวิกฤติในเรื่องน้ำของประเทศจะมาเยือนแน่นอน
สำหรับสาเหตุที่คัดค้านการสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำนั้น มีเหตุผลหลักๆ ก็คือ เขื่อนทำลายป่าไม้ ทำลายธรรมชาติ ทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุผลสนับสนุนอื่นๆอีก เช่น เขื่อนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง หรือน้ำท่วม มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ตั้งอยู่ในแนวเลื่อนของเปลือกโลก เป็นต้น พร้อมกับให้คำแนะนำว่า การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ การอนุรักษ์ป่า และการปลูกป่า เป็นแนวทางแก้ปัญหาเรื่องน้ำดีที่สุด
จริงๆแล้ว การสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ ใช่สาเหตุหลักของการสูญเสียป่า สูญเสียธรรมชาติหรือไม่?
เอกสารในงานสัมมนาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตด้านทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ ระบุว่า สถานการณ์ป่าไม้เมื่อปี 2504 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าประมาณ 171 ล้านไร่ หรือร้อยละ 53 ของพื้นที่ทั้งประเทศ แต่ในปี 2549 ประเทศไทยพื้นที่ป่าลดลงเหลือเพียง 99 ล้านไร่ หรือร้อยละ 31 ของพื้นที่ทั้งประเทศ จะเห็นได้ว่า ในช่วงเพียง 45 ปี ไม่ถึงชั่วอายุคน ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่ป่าไปถึง 72 ล้านไร่ หรือประมาณปีละ 1.6 ล้านไร่
อะไรคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้พื้นที่ป่าต้องสูญเสียไปอย่างมหาศาลเช่นนี้ ?
ข้อมูลจากหนังสือราชการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง ข้อมูลการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อปี 2543 โดยอ้างข้อมูลจากกรมป่าไม้ ระบุว่า มีพื้นที่ป่าที่ขอใช้เพื่อการชลประทาน ซึ่งรวมถึงการสร้างเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ ระบบคลองส่งน้ำ อาคารชลประทานต่างๆ เป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 535,620 ไร่
อาจจะมีคนแย้งว่า โครงการพัฒนาแหล่งน้ำไม่ได้ขอใช้พื้นที่เฉพาะ ป่าสงวนแห่งชาติเท่านั้น บางโครงการยังขอใช้พื้นที่ป่าในเขตของอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าด้วย ซึ่งก็เป็นไปได้เช่นกัน แต่คงจะไม่มากไปกว่าพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ขออนุญาตใช้แน่นอน ประมาณการได้ว่า ตั้งแต่มีกรมชลประทานเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โครงการพัฒนาแหล่งน้ำน่าจะขอใช้พื้นที่ป่าทุกประเภทรวมกันไม่เกิน 1 ล้านไร่
ตามข้อมูลที่ระบุว่า ประเทศไทยสูญเสียพื้นที่ป่าไปถึง 72 ล้านไร่ ในจำนวนนี้เป็นการสูญเสียเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำเพียงประมาณ 1 ล้านไร่ ที่เหลือเป็นสูญเสียไปเพราะเรื่อง อื่นๆ ซึ่งข้อมูลการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวข้างต้น ได้ระบุว่า ได้มีการขอใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมกันทั้งหมดประมาณ 2.8 ล้านไร่เท่านั้น ซึ่งประกอบด้วย ขอใช้ในการ ปลูกสร้างสวนป่า การเกษตร ที่อยู่อาศัย สถานที่ราชการ ระเบิดหิน ทำเหมืองแร่ ก่อสร้างทาง การไฟฟ้า การชลประทาน การศึกษา ศาสนา เป็นต้น
ดังนั้นพื้นที่ป่าเกือบ 70 ล้านไร่ที่สูญเสียไปส่วนใหญ่ จึงน่าจะมาจากการบุกรุกที่ผิดกฎหมายมากกว่าการนำไปใช้ประโยชน์ในทุกๆด้านที่ถูกกฎหมาย และที่สำคัญการสูญเสียป่าเนื่องจากโครงการพัฒนาแหล่งน้ำนั้นมีจำนวนน้อยมาก แต่กลับถูกมองเป็นตัวการใหญ่ และเป็นสาเหตุสำคัญในการทำลายป่า ทั้งที่จริงๆแล้วโครงการพัฒนาแหล่งน้ำสร้างประโยชน์ไม่ต่างจากป่าไม้
“ป่าไม้” ทุกคนยอมรับว่า มีประโยชน์มากมาย ในหนังสือ “ทรัพยากรป่าไม้” ได้เขียนถึงประโยชน์ของป่าไม้ไว้ว่า มีประโยชน์ทางตรงคือ สามารถนำมาใช้ในการดำรงชีวิตหรือทำเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้ เช่น เนื้อไม้ นำมาแปรรูปใช้ในการก่อสร้าง ประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ หรือทำเยื่อกระดาษ เป็นต้น สามารถช่วยดูดซับและกักเก็บน้ำ โดยเศษซากใบไม้และกิ่งไม้ตามพื้นป่าเปรียบเสมือนฟองน้ำช่วยซับน้ำเอาไว้ แล้วระบายลงไปเก็บไว้ในพื้นดิน ซึมลงไปเป็นน้ำใต้ดิน และค่อยๆ ระบายลงสู่ลำห้วยลำธารอย่างช้าๆ ทำให้มีน้ำไหลในลำธารตลอดทั้งปี เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า เป็นแหล่งอาหาร ที่สร้างรัง วางไข่ และหลบภัย เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุกรรม โดยเป็นแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เป็นแหล่งป้องกันภัยธรรมชาติ ช่วยลดความรุนแรงจากอุทกภัยด้วยการชะลอการไหลของน้ำไหลบ่าหน้าดิน และช่วยลดกำลังของลมพายุได้เป็นอย่างดี เป็นห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ และแหล่งวิชาการด้านชีววิทยา นิเวศวิทยา ธรรมชาติวิทยา ป่าไม้ เกษตร เภสัชกรรม และอื่นๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่อาศัยและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ทางอ้อมคือ ช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ช่วยทำให้ดินดีขึ้น จากอินทรียวัตถุ และสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่สะสมปกคลุมผิวดิน ช่วยป้องกันแม่น้ำลำธารไม่ให้ตื้นเขิน ป้องกันการกัดชะและพังทลายของหน้าดิน ช่วยลดตะกอนที่ไหลมากับน้ำ ทำให้แหล่งน้ำต่างๆ มีการตกตะกอนน้อย ช่วยเพิ่มปริมาณอาหารให้แก่สัตว์น้ำในแหล่งน้ำตอนล่าง น้ำที่ไหลมาจากป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ จะมีธาตุอาหารปะปนมากับน้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งธาตุอาหารเหล่านี้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของแพลงตอนและสัตว์น้ำต่างๆ
ป่าไม้มีประโยชน์มากมายควรค่าในการอนุรักษ์ เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำก็มีประโยชน์เช่นกัน
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้เขียนไว้ว่า เขื่อน เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สำหรับกั้นทางน้ำ มีประโยชน์ เพื่อกักเก็บน้ำ ในช่วงฤดูน้ำหลากและปล่อยน้ำใช้ในการเกษตรกรรม อุปโภคบริโภคในช่วงขาดแคลนน้ำ เขื่อนยังคงใช้สำหรับป้องกันน้ำท่วมฉับพลันในฤดูที่น้ำไหลหลากอีกทางหนึ่ง โดยเขื่อนจะทำหน้าที่ชะลอความเร็วของน้ำ ให้น้ำไหลผ่านได้เฉพาะตามปริมาณที่เหมาะสม ในปัจจุบันเขื่อนมีหน้าที่หลักอีกด้านคือการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยพลังงานไฟฟ้าส่วนหนึ่งในประเทศไทยมาจากการปั่นไฟจากเขื่อน
นอกจากนี้เขื่อนแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ แหล่งทำอาชีพประมง และบางแห่งใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ เช่น การล่องเรือ การแข่งกีฬาทางน้ำ การตกปลา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ ย่อมมีผลกระทบต่อป่าไม้และสภาพแวดล้อมบ้าง แต่ก็ได้น้ำกลับมา ซึ่งน้ำมีส่วนสำคัญที่จะสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับป่า และให้กับประชาชนที่อยู่พื้นที่ราบ รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาภัยแล้ง หรือ น้ำท่วมได้อย่างเป็นรูปธรรม จะเห็นได้จากพื้นที่ที่มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ กับพื้นที่ที่ไม่มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ คุณภาพชีวิต ฐานะทางเศรษฐกิจ ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำท่วม ฯลฯ
“เขื่อน” ใช่ว่าจะสามารถแก้ปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งหมด ในอดีตที่เคยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่ก็มีหลักฐานยืนยันว่า มีน้ำท่วมเกิดขึ้นในฤดูน้ำหลากเกือบทุกปี จนสามารถนำมาใช้เป็นยุทธวิธีในการรบกับศัตรูได้ หรือในฤดูแล้งก็น้ำแห้งเดินข้ามแม่น้ำได้สบายๆ เช่น ในแม่น้ำปิง ชาวบ้านสามารถลงเล่่นน้ำในช่วงสงกรานต์ได้ หรือแม้แต่ในปัจจุบัน ลุ่มน้ำยม ที่ถูกอ้างเสมอว่า ป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เกิดปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนทุกปี พอถึงฤดูแล้งน้ำก็แห้งขาดแคลนน้ำทุกปีเช่นกัน
เมื่อมีหลักฐานยืนยันว่า เขื่อน ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักในการทำลายป่า ทำไมไม่ไปตามทวงคืนผืนป่าจากสาเหตุหลักคือ การบุกรุกที่ผิดกฎหมาย นำที่ดินมาฟื้นฟูให้เป็นป่า ดีกว่าที่จะมาต่อต้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สร้างประโยชน์มากมายไม่ต่างจากป่า
แก้ไขปัญหาป่าไม้ให้ตรงจุด ควบคู่กับการพัฒนาแหล่งน้ำอย่างมีเหตุผลน่าจะเป็นทางออกที่ดีในการแก้ไขปัญหาน้ำและป่า ซึ่งทั้ง 2 นี้อย่างสามารถบูรณาการ เกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้ ดั่งพระราชดำริจากน้ำพระราชหฤทัย ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ที่มีความตอนหนึ่งว่า
“.....พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า...”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี