นายวราวุธ ขันติยานันท์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งและภัยธรรมชาติในปี 2558 ว่า คาดการณ์ว่าสถานการณ์น่าจะมีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเข้าสู่ช่วงปรากฏการณ์เอลนิโญ่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งระหว่างต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2558 นี้ สถาบันด้านอุตุนิยมวิทยา ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้คาดหมายว่าปริมาณน้ำฝนจะต่ำกว่าเกณฑ์ปกติในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย ประกอบกับพฤติกรรมการเผาป่าและเศษซากพืชในไร่นาทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในระยะจากนี้ไป จะทำให้เกิดการสะสมของหมอกควันซึ่งเป็นอนุภาคขนาดเล็กจำนวนมากที่มีปัญหาต่อสุขภาพของประชาชนในภาคเหนือ และยังมีผลทำให้โอกาสการเกิดฝนในธรรมชาติลดลงด้วย ซึ่งจะซ้ำเติมให้สถานการณ์ภัยแล้งมีความรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้น ภาคราชการและเอกชน จึงจำเป็นต้องช่วยกันรณรงค์และเพิ่มมาตรการในการบริหารจัดการเพื่อลดการเผาป่าและเศษซากพืชในไร่นาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
นายวราวุธกล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการสู้กับสถานการณ์ภัยแล้งและปัญหาหมอกควันในช่วงฤดูแล้งนี้ กรมฝนหลวงฯ จึงได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาคทั้ง 5 ศูนย์ ได้แก่ เชียงใหม่ นครสวรรค์ ขอนแก่น ระยอง และสุราษฎร์ธานี เตรียมความพร้อมและติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดแล้ว ถึงแม้ว่าตามสถิติข้อมูลความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศในระดับที่เมฆก่อตัวจะเข้าสู่เกณฑ์ 60% ที่สามารถทำฝนได้จะต้องเป็นเดือนมีนาคมเป็นต้นไป แต่ก็มีบางวันและบางพื้นที่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่มีลมสอบเข้าหากันทำให้ความชื้นสูงขึ้นก็จะสามารถขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงในบริเวณดังกล่าวได้ โดยขณะนี้ได้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วไว้แล้ว 2 ชุดที่สนามบินนครสวรรค์เพื่อเตรียมปฏิบัติภารกิจนี้แล้ว
สำหรับแผนปกติตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 จะเริ่มตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจนครบ 10 หน่วย ตามอัตรากำลังที่กรมมีอยู่และรวมทั้งหน่วยบินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศ โดยในภาคเหนือจัดตั้งหน่วยที่เชียงใหม่ และพิษณุโลกหรือตาก ภาคกลางจัดตั้งหน่วยที่นครสวรรค์ และลพบุรี หรือกาญจนบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตั้งหน่วยที่ขอนแก่น และนครราชสีมาหรืออุบลราชธานี ภาคตะวันออกจัดตั้งหน่วยที่ระยอง และจันทบุรี หรือสระแก้ว ภาคใต้จัดตั้งหน่วยที่ หัวหิน และสุราษฎร์ธานี หรือนครศรีธรรมราช
“ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาได้เริ่มโครงการจัดตั้งอาสาสมัครฝนหลวงในทุกภาคของประเทศ โดยมีตัวแทนเกษตรกรในระดับอำเภอเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครฝนหลวงและผ่านการฝึกอบรมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาสาสมัครเหล่านี้ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานข้อมูลทั้งในด้านการรายงานสภาพการเพาะปลูกและบริเวณพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง ตลอดจนรายงานผลการตกของฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวงในแต่ละวัน รวมไปถึงความสามารถในการสังเกตเมฆที่เหมาะสม ในการทำฝนหลวงและแจ้งตำแหน่งเป้าหมายให้หน่วยที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงได้ทันเวลา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญและพร้อมดำเนินการเต็มรูปแบบในปีนี้” อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี